Homebright

Bright

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะค่ะ:D

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทำนายนิสัยจากสบู่ที่ชอบใช้


ทายนิสัยจากสบู่ที่ชอบใช้
 
ชอบใช้สบู่ที่ผสมน้ำหอมสำหรับคนที่ชอบใช้สบู่หอมๆ ไม่ว่าจะหอมมากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม ขอเพียงหลังอาบน้ำกลิ่นนั้นก็จะหอมกรุ่นละมุนละไมติดตัว สามารถทายได้เลยว่า เป็นคนที่มีนิสัยประณีต พิถีพิถัน รักความสะดวกสบาย เป็นคนที่มีจินตนาการในเรื่องความรักสูง ชอบดูแลตัวเองให้ดูดีมีเสน่ห์ แต่ขณะเดียวกัน ก็อาจเป็นคนที่มีอารมณ์ปรวนแปร ใจน้อยเก่ง งอนง่ายว่างั้นเถอะ ชอบให้คนเอาอกเอาใจเป็นที่สุด

ชอบใช้สบู่ที่สกัดจากพืชพรรณธรรมชาติ
ใครก็ตามที่ชอบใช้สบู่ที่ทำมา (หรือมีส่วนผสม) จากพืช,ผลไม้,สมุนไพร เช่นสบู่ขมิ้น,สบู่มังคุด,สบู่ว่านหางจระเข้ฯลฯ อะไรทำนองนี้ แสดงว่าเป็นคนที่ชอบตัดสินใจด้วยจัวเอง รักอิสระ บางคนอาจจะอยู่ในกฏเกณฑ์หรือกรอบระเบียบของสังคมแต่ลึกๆแล้วมักมีข้อข่อข้านขัดแย้งอยู่ร่ำไป เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่ลักษณะการแสดงออกภายนอกกลับดูอ่อนโยน เป็นคนที่มักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รักและไว้ใจคนง่าย

ชอบใช้สบู่ราคาแพง
แต่ถ้าใครชอบใช้สบู่ซึ่งมียี่ห้อชื่อดัง หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก หรือมีราคาค่อนข้างแพงล่ะก็ แสดงว่าเป็นคนที่ให้ความสนใจกับภาพพจน์ตัวเองสูง มักจะคาดหวังถึงแต่สิ่งที่ดีเลิศ ชอบความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่ง หรือการมีผู้คนชื่นชมสนใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะเป็นคนที่มีความพยายามสูง (โดยเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองต้องการ) เรียกว่าถ้าหมายปองสิ่งใด ก็จะทำทุกวิถีทางให้ได้สิ่งนั้นมา แต่อีกด้านหนึ่งนั้น เชื่อมั้ยล่ะว่า กลับเป็นคนที่ขาดความมั่นใจอยู่ลึกๆ

ชอบใช้สบู่ยา
ส่วนใครที่ชอบใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของยา ซึ่งมักจะมีสรรพคุณว่าสามารถกำจัดแบคทีเรียได้ดี หรือระงับกลิ่นกาย,กลิ่นเหงื่อได้อย่างหมดจด จะสาวหรือหนุ่มก็รู้ไว้เลยว่า เป็นคนที่ให้ความสนใจกับสุขภาพสูง มักชื่นชอบการเล่นกีฬา ชอบการออกกำลังกายเวลาอยู่ในที่ปลอดโปร่งสดชื่นจะรู้สึกมีความสุขมาก... แต่อีก 2 นิสัยเด่นๆก็คือ มักจะเป็นคนที่มีความวิตกกังวลเล็กๆน้อยๆอยู่ในใจ และมีกฏระเบียบบางอย่างเป็นของตัวเอง

ชอบใช้สบู่ที่ผสมเครื่องบำรุงผิว
แต่ถ้าหากใครเลือกสบู่อาบน้ำสักก้อน ก็ต้องเลือกสบู่ที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ หรือผสมวิตามินอันอุดมด้วยคุณค่าบำรุงผิวแล้วล่ะก็ แสดงว่าเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยน ละเอียดอ่อน มีมิตรไมตรี มักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นง่าย ยามรักใครก็จะแสดงออกถึงความอาทรห่วงใยโดยไม่ปิดบัง แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้น เห็นอารมณ์อ่อนไหวอย่างนี้เถอะ กลับรักการผจญภัยอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องไม่เสี่ยงอันตรายนะ

ชอบใช้สบู่เหลว
สำหรับคนที่ชอบใช้สบู่น้ำ หรือสบู่เหลว แน่นอนเลยว่าเป็นคนที่รักสวยรักงาม มักพิถีพิถันกับเรื่องส่วนตัว มีมาตรฐานสูงในการประเมินคุณค่าผู้คนหรือสิ่งของต่างๆ อีกทั้งยังเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องความสะอาดของสิ่งของเครื่องใช้ (และรวมทั้งผู้คนใกล้ชิดด้วย) อีกนิสัยที่โดดเด่นคือ เป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เกลียดการเอารัดเอาเปรียบ และจะมีปฏิกิริยาสูงมากต่อคนที่เห็นแก่ตัว

ชอบใช้สบู่เด็ก
ส่วนใครที่ชอบใช้สบู่อ่อนๆ ไม่มีส่วนผสมของหัวน้ำหอมฉุน หรือตัวยาที่มีฤทธิ์ใดๆ หรือที่เรียกว่าสบู่เด็กนั่นแหละ แสดงว่าเป็นคนที่มีความไร้เดียงสาอยู่ในตัว อารมณ์อ่อนไหว ดูเปราะบาง แต่ก็จะสามารถดูแลตัวเองได้ และยังเป็นคนที่ชอบของสวยงามชิ้นเล็กๆน่ารัก กุ๊กกิ๊ก ชอบการสะสมข้าวของที่ตัวเองโปรดปราน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้า และมีความเห็นที่น่าสนใจ

ใช้สบู่อะไรก็ได้
สำหรับคนที่ใช้สบู่อะไรก็ได้ ไม่พิถีพิถัน ขอเพียงให้ใช้อาบน้ำสะอาดก็พอใจแล้ว นั่นแสดงว่าเป็นคนเรียบง่าย มีความเข้มแข็งอยู่ในตัวเอง เมื่อเจออุปสรรคปัญหาก็ไม่ย่อท้อง่ายๆ แม้จะท้อบ้างก็เป็นในระยะเวลาอันสั้น เป็นคนปรับตัวเก่ง มีความอดทนสูง และค่อนข้างจะใช้เวลาในการตัดสินใจนาน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความคิดบางอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บุคลิกค่อนข้างจะเฉยชา เหมือนไม่ค่อยกล้าสู้กับใคร จริงๆแล้วเป็นเพราะไม่อยากมีรื่องวุ่นวายต่างหาก
--

กินไอศกรีมมื้อเที่ยงไม่อ้วน


สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการกินไอศกรีมแต่กลัวอ้วน อาจจะต้องดีใจจากข้อมูลจากประเทศอิตาลี ที่ขึ้นชื่อเรื่องไอศกรีมโฮมเมดว่า 
การกินไอศกรีมนั้นดีกว่ากินมื้อเที่ยงเป็นไหนๆ เพราะย่อยง่าย และทำให้สดชื่นพร้อมลุยงานต่อในช่วงบ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครอยากลดความอ้วนละก็ แนะนำให้กินไอศกรีมผลไม้แทนมื้อเที่ยงสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง 
ข้อดีต่อไปคือ ไอศกรีมเชอร์เบทดับกระหายได้ดีกว่าน้ำ เพราะมีน้ำซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ร้อยละ 65-70 แถมมีแคลอรี่น้อยกว่าน้ำอัดลมด้วย นอกจากนี้ไอศกรีมยังช่วยลดความเครียดได้ เพราะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายและทำให้ผ่อนคลายอีก

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธีคิดหารังสีออร่าของตัวคุณ


วิธีคิดหารังสีออร่าของตัวคุณ 
 
รังสีออร่าในตัวคุณสีของออร่า คือสีของความคิดและอารมณ์จะมีลักษณะเป็นหมอกไหลปรากฏเป็นหย่อมๆ เห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะและเหนือบ่า 
เพียงคำนวณตามสูตร นำวัน เดือน ปี ค.ศ . ที่เกิด มาบวกกัน
สมมุติว่า เกิดวันที่ 5 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1960
ก็นำเลขทั้งหมดมาบวกกันคือ 5 + 5 + 1960 = 1970 
จากนั้นก็แยกตัวเลขออกมาบวกกันอีกครั้ง
จะได้เป็น 1 + 9 + 7 + 0 = 17 ก็นำมาแยกบวกอีกจนกว่าจะได้เลขตัวเดียว
ซึ่งก็คือ 1 + 7 = 8
เมื่อได้ผลลัพธ์เป็นเลขตัวเดียว 

แล้วขอให้ดูว่าตัวเลขที่ได้ตรงกับสีพื้นฐานสีอะไร มีความหมายว่าอย่างไร
แต่ถ้าเลขบวกกันแล้วได้ผลเป็น 11 และ 22 ไม่ต้องแยกบวกอีก
เพราะเป็นพวกพิเศษกว่าพวกอื่น 



1. สีแดง : ผู้นำ
พวกมีสีแดงเป็นสีพื้นฐาน จะมีความกระตือรือร้น เป็นผู้นำ ทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉงและพลังทางเพศมีเสน่ห์ พูดจาโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ดี เป็นคนสนุกสนาน โอบอ้อมอารี กล้าหาญ คุณวิ่งไม่เร็ว มองโลกในแง่ดี ชอบการแข่งขัน เป็นสีที่นำมาซึ่งความสำเร็จ คุณควรหาอะไรที่ท้าทายความสามารถทำ ชอบสร้างโครงการท้าทายความสามารถ แต่ต้องพิจารณาให้พอเหมาะสมกับตัวด้วย
ข้อเสีย มักจะขี้กังวล ตื่นตระหนกและอาจหลงตัวเองรวมทั้งอาจจะบ้างานมากไปจนเครียด ควรรู้จักพักผ่อน และคลายความเครียด 

2. สีส้ม/ แสด : มนุษยสัมพันธ์ดี
คุณเป็นคนอบอุ่น น่าคบ เข้ากับคนง่าย กระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข เป็นสีที่คอบควบคุมกล้ามเนื้อ แต่มีมากไปจะเย่อหยิ่ง ชอบเป็นที่ปรึกษาปัญหาให้ใครต่อใคร ชอบช่วยเหลือและ ทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ จิตใจสมถะ ชอบปิดทองหลังพระ คุณควรคบกับคนที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่งั้นคนอื่นจะเอาเปรียบคุณ 
ข้อเสีย ขี้เกียจ ใจน้อย มักถูกคนอื่นเอาเปรียบ 

3. สีเหลือง : มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด
คุณเป็นคนคิดอะไรรวดเร็ว มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เข้าสังคมง่ายปรับตัวเก่ง ชอบคุยถกเถียงปัญหา ชอบเรียนรู้ และทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เป็นคนฉลาด หลักแหลม และเรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว มีเมตตา รักเพื่อนมนุษย์ เป็นสีคุ้มกันโรคภัย มีพรสวรรค์ด้านการพูด งานที่ทำควรเกี่ยวกับการพูดเป็นสื่อ เช่น ครู เซลล์แมน นักการทูต ที่ปรึกษา ฯลฯ หรืองานอาชีพที่ต้องใช้คำพูดเป็นหลัก
ข้อเสีย จับจด ขี้อาย โกหกเก่ง 

4. สีเขียว : รักษาโรค
คุณเป็นคนรักสงบ ละเอียดอ่อน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจดี มีพลังจิต ไว้วางใจได้ คุณอาจมีลักษณะภายนอกหงิมๆ หรือเรียบง่าย แต่ส่วนลึกแล้วดื้อน่าดู คุณเป็นพวกสู้งาน หนักเอาเบาสู้ มีความสามารถในการใช้มือ เป็นสีแห่งความสมดุลและปรับตัว ข้อเสีย ดื้นรั้น ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 

5. สีน้ำเงิน : เป็นได้ทุกอย่าง
คุณเป็นพวกมองโลกในแง่ดี แม้ชีวิตจะลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้างแต่ยังยิ้มสู้เสมอ เชื่อมั่นในตนเอง ซื่อตรง พยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง แสงออร่าของคุณจึงกว้างและสว่างไสวเสมอ ทำให้กระชุ่มกระชวยดูอ่อนกว่าวัย คุณมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ปากกับใจตรงกัน รักการผจญภัย  มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ ชอบพบปะผู้คนและสนใจการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีพรสวรรค์หลายๆ ด้าน 
ข้อเสีย ชอบทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกัน จึงกลายเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างนอกจากนั้นยังเป็นพวกชีพจรลงเท้า และขาดความอดทนอีกด้วย 

6. สีคราม : มีความรับผิดชอบสูง
คุณชอบงานด้านสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่น ชอบรับผิดชอบงาน จิตใจโอบอ้อมอารี เป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ไม่เห็นแก่ตัว เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิตต่างๆ มีความคิดฉลาดล้ำลึกและสร้างสรรค์ นิยมความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต 
ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น ควรหาเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้างมีมาตรฐานการทำงานสูง จึงมักหงุดหงิดกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ตามมาตรฐานของตนเอง 

7. สีม่วง : ฉลาดล้ำลึก และสันโดษ
คุณมีจิตใจละเอียดอ่อน สนใจในศาสตร์ลึกลับจนบางครั้งดูเหมือนเป็นคนลึกลับ คุณมีประสาทสัมผัสที่ 6 สูง รักสันโดษจนดูเหมือนคุณจะเข้ากับใครไม่ได้ มักมีปัญหาบริเวณท้อง 
ข้อเสีย มักดูถูกความคิดผู้อื่น และเก็บความรู้สึกมากเกินไป 

8. สีชมพู : นักบริหาร นักธุรกิจ
คุณเป็นคนมีความตั้งใจจริง แต่ค่อนข้างดื้อรั้น วางมาตรฐานตัวเองไว้สูง มุ่งมั่นที่จะให้บรรลุเป้าหมายและความสำเร็จ ถ้าคุณรู้ว่าเป็นฝ่ายถูก คุณจะยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ยอมถอย มีพลังที่แจ่มใส รักสงบ เต็มไปด้วยความรัก โรแมนติก อารมณ์ขัน ถ่อมตน ปลอบประโลมคนเก่ง
ข้อเสีย มักจะใจคอโลเล อาชีพของคุณจึงต้องเกี่ยวกับการบริหารและความรับผิดชอบ 

9. สีทองเหลือง : นักสังคมสงเคราะห์
คุณเป็นคนอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นทั้งนักปราชญ์และเป็นคนมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม มีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี
ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น จึงถูกเอาเปรียบบ่อยๆ ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง 

11. สีเงิน : นักอุดมคติ
คุณมีประสาทสัมผัสที่ ๖ มีศักยภาพสูงในหลายๆ ด้าน เต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ชอบฝันหวาน แต่คุณมักจะฝันมากกว่าลงมือทำจริงๆ เป็นคนซื่อสัตย์ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดี ถ้ามุมานะสร้างความฝันให้เป็นความจริงคุณจะไปได้ไกลมากทีเดียว 
ข้อเสีย ขี้เกียจ และบางครั้งจะเครียดจนใครๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ควรหาเวลาพักผ่อน ฝึกสมาธิ หรือโยคะ 

22. สีทอง : ไม่มีขอบเขตจำกัด
คุณสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก หรือทำงานใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปาก คุณจะประสบความสำเร็จไปแทบทุกเรื่อง เป็นคนมีเสน่ห์จูงใจ ทำงานหนักเอาเบาสู้มีเป้าหมาย ในการทำงานที่แน่นอน มีอุดมคติและความสามารถสูง เป็นผู้นำสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้
เจ้าของบล็อกทำแล้ว ไม่ตรงเลย ..เอามาลงให้พี่ๆ เพื่อน  มาดูเล่น
ถ้าไม่ตรงยังไงขอโทษนะค้าบบT^T

25 อันดับ “เมืองน่าอยู่” แห่งปี 2011


เมื่อไม่นานมานี้นิตยสาร Monocle (นิตยสารเชิง Educative & Lifestyle ชื่อดังจากเกาะอังกฤษที่หลายคนฟันธงว่า เป็นโมเดลของนิตยสารที่สมบูรณ์แบบแห่งศตวรรษ) ได้นำเสนอผลการสำรวจการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ประจำปี 2011 โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ อันได้แก่
1) โอกาส
2) คุณภาพชีวิต
3) ความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์รากเหง้าดั้งเดิมของตัวเมืองและแผนการในอนาคต
และต่อจากนี้ไปก็คือ รายชื่อของผู้ชนะทั้ง 25 เมืองที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ พรสวรรค์ และความกล้าหาญในการที่จะลงมือทำ “สิ่งที่เคยฝัน” ให้กลายเป็นจริง…
อันดับที่ 25 – ซีแอทเทิล (Seattle) สหรัฐอเมริกา 
(เข้าอันดับใหม่ในปี 2011)
“รอบล้อมด้วยน้ำในทุกหนทุกแห่ง และอยู่ใกล้เอเชียที่สุด” 
ซีแอทเทิล คือ เมืองที่รอบล้อมไปด้วยมหาสมุทร ทะเลสาบ และคลอง (สำหรับเดินเรือเพื่อขนส่งสินค้าต่างๆ) จนได้ชื่อว่าเป็น “สุดยอดเมืองแห่งเรือเดินสมุทร” แถมเป็นเมืองท่าของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ใกล้ชิดทวีปเอเชียที่สุดด้วย 
ย่านที่น่าสนใจของซีแอทเทิลในตอนนี้ ก็คือ South Lake Union ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารดีๆ มากมาย นอกจากนั้น ซีแอทเทิลยังมีโครงการรถไฟฟ้ามูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่กำลังจะถูกขยายภายในเวลา 2 ปี
อันดับที่ 24 มอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดา  
(อันดับที่ 19 เมื่อปี 2010)
“อุปสรรคสำคัญในการเติบโตของมอนทรีออลก็คือ ความไม่สะดวกในการเดินทางไปรอบๆ เมือง แต่ถึงกระนั้นด้วยความเป็นอัจฉริยะและความคิดสร้างสรรค์ที่ล้นปรี่ ก็ยังทำให้เมืองนี้ติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดอยู่ดี”  
หากมอนทรีออลจะยังคงติดอันดับต้นๆ ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีนั้น ก็คงไม่ใช่เพราะมีผู้บริหารที่ดีเพียงอย่างเดียว เพราะในขณะที่เมืองๆ นี้ได้รับการยกย่องในเรื่องสาธารณูปโภค การปั่นจักรยาน และเรื่องของอุตสาหกรรมไฮเทค แต่เรื่องของการขนส่ง ถนนหนทาง ตลอดจนสะพานต่างๆ ในเมือง ก็ควรได้รับการปรับปรุงอีกมาก  (การเดินทางรอบเมืองมอนทรีออลใช้เวลาประมาณ 76 นาที)
อันดับที่ 23 – ลิสบอน (Lisbon) ประเทศโปรตุเกส
(อันดับที่ 25 เมื่อปี 2010)
“มีร้านรวงเล็กๆ มากมายที่เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในพื้นที่สาธารณะต่างๆ ทั่วเมือง”
แม้ความซบเซาทางเศรษฐกิจจะทำให้การ ค้าขายในเมืองลิสบอนปราศจากชีวิตชีวา แต่ชาวเมืองลิสบอนก็ยังสามารถพึ่งพา “อากาศที่ดี” และทำให้ย่านการค้าแบบ Open air ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยสถานที่ที่คึกคักที่สุดก็คือบริเวณริมแม่น้ำในตำบล Belem ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ Champalomaud Foundation Centre (เพิ่งเปิดตัว Biomedical Centre และ Contemporary Art Centre ไปเมื่อไม่นานมานี้) นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีแผนการที่จะสร้างสถานีเติมพลังงานให้กับรถที่ใช้ พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย
อันดับที่ 22 – ฮัมบูร์ก (Hamburg) ประเทศเยอรมันนี 
(อันดับที่ 24 เมื่อปี 2010)
“เมืองที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามเป็นอันดับสองของเยอรมันนี” 

ฮัมบูร์กมีอาคารประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม ตลอดจนมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ และมีน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญเมืองนี้เป็นที่ตั้งของโครงการ HafenCity โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือซึ่งมีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่ “กล้าและล้ำที่สุด” (คาดว่า จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกจำนวนมหาศาล) ท้ายสุดฮัมบูร์กยังได้ครองตำแหน่ง European Green Capital ประจำปี 2011 ด้วย
อันดับที่ 21 – เกียวโต (Kyoto) ประเทศญี่ปุ่น 
(อันดับที่ 23 เมื่อปี 2010)
“เมืองหลวงเก่าที่มีทุกอย่างที่โตเกียวไม่มี” 
ถ้าระยะเวลาในการเดินทางด้วยรถด่วน ชินคังเซนขบวน “โตเกียว – เกียวโต” ถูกย่อให้เหลือเพียง 45 นาที (แทนที่จะเป็น 2 ชั่วโมงอย่างทุกวันนี้) ผู้คนที่ทำงานในโตเกียวอาจเลือกพักอาศัยในเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ มากกว่าการไปแออัดอยู่ในกรุงโตเกียวด้วยซ้ำ ด้วยว่า เกียวโตนั้นมีทุกอย่างในแบบที่เมืองทันสมัยไฮเทคฯ ของโลกควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถาปัตยกรรม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ แถมมีพื้นที่เปิดโล่งตามแนวแม่น้ำ (แม่น้ำคาโมะที่แนบขนานไปกับย่านเมืองเก่า) ตลอดจนมีวิถีชีวิตสไตล์เนิบช้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรม  ที่สำคัญคือ ไม่มีเรื่องแผ่นดินไหวและภัยสงครามมารบกวนใจชาวเมืองแม้แต่น้อย 
อันดับที่ 20 – แวนคูเวอร์ (Vancouver) ประเทศแคนาดา
(อันดับที่ 16 เมื่อปี 2010)
“คงมีไม่กี่เมืองในโลกที่สามารถต่อกรกับธรรมชาติได้อย่างน่าชื่นชม ซึ่งแวนคูเวอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น” 
ประชากรครึ่งหนึ่งของแวนคูเวอร์ไม่ ได้เกิดที่แคนาดา อาหารจานหลักของเมืองๆ นี้ ได้มาจากมหาสมุทรและสวนผลไม้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ แวนคูเวอร์เป็นศูนย์กลางของการผลิตภาพยนตร์ และศูนย์รวมของบริษัทออกแบบวิดีโอเกมส์
อันดับที่ 19 – โฮโนลูลู (Honolulu) สหรัฐอเมริกา
(อันดับที่ 13 เมื่อปี 2010)
“เมืองสวรรค์แห่งนี้มีดีมากกว่าแค่ชายหาด”
จับตาดูผลงานของนายกเทศมนตรีคนใหม่ ที่เพิ่งจัดให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ อาทิ โครงการสร้างทางรถไฟมูลค่ามหาศาล การกำจัดขยะ การทำท่อระบายน้ำเสีย ฯลฯ และปิดท้ายด้วยการเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ในเดือนพฤศจิกายนที่กำลังจะมาถึง
โฮโนลูลู บ้านเกิดของประธานาธิบดีบารัค โอบามา มีเรื่องของการท่องเที่ยวเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งแม้ว่า หาดไวกิกิจะถูกกัดเซาะเข้าไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวลดน้อยถอยลงเลย นอกจากนั้นด้วยความที่มีวิวทิวทัศน์งดงาม โฮโนลูลูจึงเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องดังหลายเรื่อง และเป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายทำรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ด้วย  ส่วนที่น่าสนใจที่สุดตอนนี้ก็คือ เรื่องของศิลปะ ทิวทัศน์ และเจ้าของธุรกิจเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ 
อันดับที่ 18 – พอร์ทแลนด์ (Portland) สหรัฐอเมริกา
(อันดับ 22 เมื่อปี 2010)
“เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ที่น่าจับตามองมากที่สุด” 
มองแว่บแรก คุณอาจจะคิดว่า เมืองริมแม่น้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาแห่งนี้เป็นเพียงแค่ที่ พักผ่อนหย่อนใจของคนหนุ่มสาว แต่หากมองให้ลึกลงไปในรายละเอียดคุณก็จะพบกว่า “พอร์ทแลนด์” คือ เมืองอุตสาหกรรมที่มีทั้งกิจการร้านค้าและกิจกรรมอันมีชีวิตชีวามากมาย (และแน่นอนว่า มันยังมีความเป็นธรรมชาติมากๆ ด้วย) 
ว่ากันว่าท่าเรือเมืองพอร์ทแลนด์ใน เวลานี้มีสินค้าส่งออกเพิ่มมากขึ้นถึง 2 เท่าจากช่วง 2 ทศวรรษก่อน ขณะที่ธุรกิจร้านอาหาร ดนตรี คาเฟ่ และแฟชั่น ก็มีตัวเลขผลตอบแทนที่ดีกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่มากโข นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยท้องถิ่นในเมืองพอร์ทแลนด์ก็กำลังก่อสร้างอาคารสูงหลายชั้น (มีกำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2013) แถมพอร์ทแลนด์ยังมีโครงการคมนาคมขนส่งชั้นยอด (มูลค่ากว่า 100 ล้านยูโร) ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งรวมถึงการขยายถนนหนทางต่างๆ และสถานีบริการ “เติมพลัง” ให้กับรถพลังงานไฟฟ้าด้วย
อันดับที่ 17 – ฮ่องกง (Hongkong) ประเทศจีน
(เข้าอันดับใหม่ในปี 2011)
“เจ้าภาพเทศกาลศิลปะ (Art Fair) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค” 
ด้วยเงินทุนจำนวนมหาศาลที่มุ่งมั่น พัฒนา “เกาลูนตะวันตก” ให้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม (โดยได้รับความร่วมมือจาก Foster + Partners) ฮ่องกงมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อเมืองใหญ่ต่างๆ หลายแห่ง เช่น กวางโจวและเซินเจิ้น (กำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2015) แถมด้วยสะพานฮ่องกง – จูไห่ – มาเก๊า ความยาว 26.6 กิโลเมตร ดูท่าว่าฮ่องกงจะเดินถึงฝั่งฝันได้ไม่ยาก ที่สำคัญที่สุดแม้ว่าฮ่องกงจะเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก แต่ 67% ของพื้นที่ก็ยังเป็นพื้นที่ป่า และมีชายหาดกระจายตัวอยู่ถึง 41 แห่ง 
อันดับที่ 16 – ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ประเทศญี่ปุ่น (อันดับที่ 14 เมื่อปี 2010)
“หนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดของญี่ปุ่น” 
ถ้าดูจากแผนที่ “เมืองฟุกุโอกะ” จะตั้งอยู่มุมบนด้านซ้ายของเกาะคิวชู แต่ถ้ามองจากระยะไกล ที่แห่งนี้คือ หัวใจของเอเชียตะวันออก (ด้วยว่า มันตั้งอยู่ใกล้กับกรุงโซลและมหานครเซี่ยงไฮ้ในระยะทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกลไป กว่าโตเกียวถึงโอซาก้า)
ฟุกุโอกะมีชื่อเสียงในเรื่องของ อาหารรสชาติกลมกล่อมและชีวิตราตรีที่สนุกสนาน ปัจจุบัน มีสถานีรถไฟใหม่ “สถานีฮากาตะ” ที่รวบรวมร้านค้าและร้านอาหารมากมายกว่า 200 ร้านไว้ด้วยกัน แถมด้วยรถไฟชินคังเซนที่เชื่อมต่อเส้นทางระหว่างฟุกุโอกะและคะโกชิมะก็ทำให้ การเดินทางสะดวกสบายยิ่ง
ขึ้น ที่สำคัญสนามบินประจำเมืองนั้นอยู่ห่างออกไปจากสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ
อันดับที่ 15 – สิงคโปร์ (Singapore)
(อันดับที่ 21 เมื่อปี 2010)
“จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ คือ ความท้าทายใหม่ในเมืองแห่งสวนของเอเชีย” 
จากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น 14.5% ในปีที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ดีปีหนึ่งของชาวสิงคโปร์ อย่างไรก็ดี นโยบายของกองต่างด้าว (ที่เข้มงวดน้อยลง) ก็ส่งผลให้เหล่าผู้อพยพไหลทะลักเข้ามา (ส่วนมากเป็นชาวจีน) ซึ่งการขยายตัวของประชากรอย่างรวดเร็วนี้ย่อมหมายถึงความติดขัดของบริการ สาธารณะต่างๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของระดับความไม่เสมอภาคอันเป็นปัญหาสูงสุดของประเทศ ที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่
ที่น่าติดตามคือ สถานการณ์ทางการเมืองของสิงคโปร์ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็น “ประชาธิบไตยอย่างช้าๆ” ขณะที่รัฐบาลก็ยังคงมีประสิทธิภาพ มีอัตราการเกิดอาชญากรรมที่น้อยแสนน้อย แถมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ยอดเยี่ยมชั้นหนึ่ง
อันดับที่ 14 – บาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปน 
(อันดับที่ 17 เมื่อปี 2010)
“เชื่อมโยงถึงกันมากกว่าที่เคยเป็นมา” 
เรื่องดีๆ ในบาร์เซโลนาตอนนี้ก็คือ สนามบิน El Prat เพิ่งเปิดประตูเชื่อมต่อไปไกลถึงเซาเปาโลและไมอามี่ แถมยังเพิ่มเส้นทางบินนอกทวีปยุโรปอีกกว่า 75% (บาร์เซโลนาเตรียมการรับมือกับเรื่องนี้ด้วยการสร้างรถไฟความเร็วสูง AVE) อย่างไรก็ตาม ภาพอนาคตในแง่มุมอื่นกลับยังไม่ชัดเจนนัก มีการตัดลดงบประมาณในโครงการต่างๆ ขณะที่ทั่วทั้งเมืองก็ยังเต็มไปด้วยนักล้วงกระเป๋า และมาตรการคุมเข้มเรื่องการแสดงดนตรีสดก็ทำให้สีสันยามค่ำคืนเฉาลงไปเยอะ
เทศมนตรี เลน บราวน์ ที่ว่า “จะทำให้โอ๊คแลนด์เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”
นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ทุกคนที่โอ๊คแลนด์ก็กำลังขมีขมันตกแต่งเมือง เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้เวิล์ดคัฟในเดือนกันยายน 2011 ซึ่งงานนี้พวกเขาลงทุนมหาศาลเพื่อปรับปรุงพื้นที่สาธารณะตลอดจนเรื่องของ ร้านอาหารด้วย
อันดับที่ 13 – โอ๊คแลนด์ (Aukland) ประเทศนิวซีแลนด์ 
(อันดับที่ 20 เมื่อปี 2010)
“สภาที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันและการเริ่มต้นใหม่ในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้เวิล์ดคัฟ”
ชาวโอ๊คแลนด์กำลังตื่นเต้นเพราะปี ที่แล้วได้มีการทดลองครั้งสำคัญในการยุบสภาทั้ง 7 เพื่อรวมกันขึ้นเป็นสภาเดียว พร้อมทั้งมีคำสัญญาจากนายกเทศมนตรี เลน บราวน์ ที่ว่า “จะทำให้โอ๊คแลนด์เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”
นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ทุกคนที่โอ๊คแลนด์ก็กำลังขมีขมันตกแต่งเมือง เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้เวิล์ดคัฟในเดือนกันยายน 2011 ซึ่งงานนี้พวกเขาลงทุนมหาศาลเพื่อปรับปรุงพื้นที่สาธารณะตลอดจนเรื่องของ ร้านอาหารด้วย
อันดับที่ 12 – กรุงปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศส 
(อันดับที่ 7 เมื่อปี 2010)
“ท้ายที่สุดเมืองหลวงของฝรั่งเศสก็ได้เรียนรู้ว่าการปฏิรูปไม่ใช่เรื่องเสียหาย” 
ทัศนคติการดูถูกคนอื่นของชาวปารีส และอดีตอันเต็มไปด้วยเรื่องราวสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำให้ผู้คนทั้งโลกประเมินศักยภาพของปารีสต่ำเกินไปในการที่จะเป็นเมือง แห่งอนาคต อย่างไรก็ดี การเชื่อมโยงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่หรูหราระยิบระยับเข้ากับย่านชุมชนชาน เมืองที่สุรุ่ยสุร่าย ก็น่าจะทำให้ทุกสิ่งกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง (เมื่อถึงวันส่งมอบ Super Metro ที่มีความยาวถึง 130 กิโลเมตรในปี 2025) ซึ่งแม้ว่าในวันนั้นประธานาธิบดี นิโคลา ซาโกซี่ จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วก็ตาม แต่เขาก็สมควรจะได้รับความดีความชอบอันนี้ พอๆ กันกับที่นายแบร์ทรองด์ เดอลาโนเอ นายกเทศมนตรีเมืองปารีสได้จัดให้มีบริการ “จักรยานเช่า” เพื่อขี่ชมเมือง (ชื่อว่า Velib) และอีกโครงการที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ก็คือ “รถไฟฟ้าเช่า” (ชื่อว่า Autolib) ซึ่งจะเรียกว่าเป็นของขวัญที่น่ารอคอยจากปารีสก็ได้
อันดับที่ 11 – สต็อกโฮล์ม (Stockholm) ประเทศสวีเดน (อันดับที่ 6 เมื่อปี 2010)
“กรุงสต็อกโฮล์มยังคงเดินหน้าต่อไปในการทำให้เมืองมีคุณภาพมากที่สุด” 
เมืองหลวงขนาดเล็กๆ แห่งสแกนดิเนเวียนี้ สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้หมดภายในระยะเวลาเพียง 30 นาที มันเพียบพร้อมไปด้วยข้อเสนอทางวัฒนธรรมที่ดี ตลอดจนร้านอาหาร ผับ บาร์ และคาเฟ่หรูหรา รวมไปถึงพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง
ล่าสุดสต็อกโฮล์มที่โดดเด่นในเรื่อง ของความสะอาดและความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติกำลังจะมีโครงการ Slussen Docks และ Stockholmsporten Gateway ที่คาดการว่า จะยังคงไว้ซึ่งความสวยงามทางสถาปัตยกรรม และความอ่อนน้อมต่อสภาพแวดล้อมเหมือนเช่นเคย
อันดับที่ 10 – มาดริด (Madrid) ประเทศสเปน  (อันดับที่ 10 เมื่อปี 2010)
“เมืองที่ถูกเปลี่ยนสภาพใหม่ให้พร้อมรับมือกับอนาคต” 
หลายคนสงสัยในความทะเยอทะยานที่ดู เหมือนจะไม่มีขีดจำกัดของ Alberto Ruiz – Gallardon ผู้ว่าการเมืองมาดริด มาโดยตลอด แต่ในที่สุด เมื่อโครงการใหญ่ทั้งหลายเสร็จสิ้นลง ชาวเมืองก็ต้องยอมรับว่า พวกเขารู้สึกดีใจและมีความสุขอย่างที่สุด  
หนึ่งในนั้นคือโครงการ Madrid Rio ที่จะมีทั้งสวนสาธารณะ เลนจักรยาน สเก็ตแรมพ์ สนามเด็กเล่น และศูนย์การค้าใหญ่อย่าง Plaza de Callao แต่ก็ใช่ว่ามาดริดจะมีแต่ข่าวดีไปเสียทั้งหมด เพราะเมื่อบ่อทองคำของเมืองเหือดแห้งไป เรื่องของสภาพอากาศก็จะกลับมาเป็นปัญหาใหญ่ด้วยระดับมลพิษที่พุ่งสูงขึ้น กว่ามาตรฐานของ E.U. เหตุนี้ทำให้กลุ่มผู้บริหารเมืองจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาจราจร พร้อมทั้งหาทางรณรงค์ให้ชาวเมืองหันมาใช้จักรยานเป็นพาหนะกันมากขึ้น 
อันดับที่ 9 – โตเกียว (Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น (อันดับที่ 4 เมื่อปี 2010)
“ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับโตเกียว หนึ่งในเมืองโปรดของคนทั้งโลก”
สัญญาณในการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจยังคง มีให้เห็นทั่วกรุงโตเกียว (หลังจากถูกโจมตีด้วยภัยธรรมชาติและภัยพิบัติจากนิวเคลียร์เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011) ซึ่งด้วยความที่จำนวนชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก โตเกียวจึงต้องหันกลับมาจัดบทบาทใหม่ และเริ่มมองหาความมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยชาวเมืองโตเกียวผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่างพร้อมใจกันลงคะแนนให้ ชินทาโร่ อิชิฮาระ ผู้ว่าการประจำเมือง 3 สมัย วัย 78 ปี ดำรงตำแหน่งต่อในสมัยที่ 4  
เราขอคำนับให้กับชาวเมืองโตเกียวที่ มีความอดทนต่อช่วงเวลาอันยากลำบาก และสำหรับสิ่งดีงามต่างๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน ความสนุกในการช้อปปิ้ง และมารยาทในการเป็นเจ้าบ้าน (แม้ว่าประชาชนพลเมืองยังต้องเผชิญกับอนาคตที่ยากลำบาก แถมด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลพวงจากหายนะทางธรรมชาติ)
อันดับที่ 8 – เบอร์ลิน (Berlin) ประเทศเยอรมันนี
(อันดับที่ 11 เมื่อปี 2010)
“ค่าครองชีพที่ต่ำกว่าเมืองหลวงใดในยุโรปทำให้เบอร์ลินยังคงเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่ที่สุด”
เฉพาะแค่ปี 2010 ที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมกรุงเบอร์ลินเพิ่มสูงขึ้นถึง 9 ล้านคน คงเพราะความที่ไม่มีงานอุตสาหกรรมหลงเหลืออยู่ และอัตราการว่างงานในเมืองก็สูงลิบ “การท่องเที่ยว” จึงได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจของเบอร์ลินให้เดินหน้า ต่อไปได้
ทุกวันนี้ หลายต่อหลายย่านฮิตในเขตที่เคยเป็น “เบอร์ลินตะวันออก” คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ทะลักเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จำนวนอพาร์ทเมนท์และที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวผุดขึ้นใหม่ราวกับดอกเห็ด เห็นชัดเลยว่า เมืองหมีแห่งนี้กำลังถูกขัดสีฉวีวรรณให้เป็นเมืองหรูหราแห่งใหม่ของโลก
อันดับที่ 7 – ซิดนีย์ (Sydney) ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 12 เมื่อปี 2010)
“ซิดนีย์ได้ถูกชุบชีวิตขึ้นใหม่จากการเปิดตัวของ Westfield Shopping Centre มอลล์ขนาดมหึมาที่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมือง”
นอกจากช้อปปิ้งมอลล์ขนาดยักษ์แห่ง ใหม่แล้ว ซิดนีย์ยังมีแผนการที่จะสร้างรถไฟที่ถนนจอร์จสตรีท (ถนนสายเจ้าปัญหา) ซึ่งผู้บริหารเมืองได้ให้คำปฏิญาณว่า จะใช้เงินจำนวน 180 ล้านเหรียญออสเตรเลีย เพื่อปรับปรุงพื้นที่บริเวณนั้นให้งดงามที่สุด ตลอดจนเรื่องการรณรงค์ให้ชาวเมืองหันมาใช้จักรยาน (ที่เคยถกเถียงกันมาตลอด) ก็จบลงด้วยข้อสรุปที่ดี งานนี้จะทำให้อัตราการใช้จักรยานสูงขึ้นอีกถึง 167 %
อันดับที่ 6 – เวียนนา (Vienna) ประเทศออสเตรีย (อันดับที่ 8 ในปี 2010)
“กรุงเวียนนากำลังจะเป็นเมืองแห่งพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่งดงามที่สุด”  
กรุงเวียนนามีโปรแกรมการปรับปรุง เมืองใหม่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟใหม่ที่แสนไฮเทค (คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2015) ซึ่งเปรียบได้กับสมอเรือในย่านใหม่ที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่า 13,000 คน หรือเกาะใหญ่ใกล้กับแม่น้ำดานูบที่กำลังกลายสภาพเป็นถิ่นเก๋ๆ ของชาวโบฮีเมียน เพราะโรงแรมสุดฮิปในเครือโซฟิเทลที่ออกแบบโดยฌอง นูแวล (Jean Nouvel) สถาปนิกชื่อดังชาวฝรั่งเศส กำลังจะเปิดตัวขึ้นในเดือนธันวาคมปีนี้ (2011) ตามด้วยมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ที่พร้อมเปิดให้บริการในปี 2012
อันดับที่ 5 – เมลเบิร์น (Melbourne) ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 9 ในปี 2010)
“การเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งกำลังจะทำให้เมลเบิร์นกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย” 
เมลเบิร์นกำลังเติบโตอย่างหยุดไม่อยู่ ทางตะวันตกของเมืองในเขต Dockland มีการก่อสร้างใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งคาดการณ์ว่า ภายในปี 2020 นี้ Dockland จะมีที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอีกราว 3,400 ยูนิต ซึ่งนั่นจะทำให้ย่านนี้กลายเป็นย่านที่เต็มไปด้วยบ้านเรือน (รองรับคนได้กว่า 17,000 คน) สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ร้านค้า ลานกีฬา และถนนสายพาณิชย์อีกหลายสาย
โดยสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ “วิธีการ” ที่เมืองๆ นี้ใช้จัดการกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้น
อันดับที่ 4 – มิวนิค (Munich) ประเทศเยอรมันนี
(อันดับที่ 1 เมื่อปี 2010)
“แม้จะอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอนุรักษ์นิยม แต่มันก็เพียบพร้อมไปด้วยความก้าวหน้าเช่นกัน”
มิวนิคเป็นเมืองหนึ่งที่มีระบบการจัดการดีที่สุดในโลก และมีระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในแคว้นบาวาเรีย ตลอดจนมีสมดุลยภาพระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานในระดับที่น่าอิจฉา เมืองๆ นี้ได้รับการรับรองให้เป็นพื้นที่ของ “เบียร์การ์เด้น” อีกทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของ “ตลาดวิคทัวเลียน” (Vikualien markt) อันแสนโด่งดังอีกด้วย
ขณะนี้ชาวเมืองมิวนิคกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการตัวเอง และลุ้นว่าจะได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวปี 2018 หรือไม่ 
อันดับที่ 3 – โคเปนเฮเกน (Copenhagen) ประเทศเดนมาร์ก 
(อันดับที่ 2 เมื่อปี 2010)
“เมืองริมน้ำที่มีความสำคัญและมีองค์ประกอบต่างๆ ที่ลงตัว” 
กรุงโคเปนเฮเกนตั้งเป้าไว้ว่า จะเป็นเมืองที่มีอัตราคาร์บอนสมดุล (Carbon- Neutral) ให้ได้ภายในปี 2025 ซึ่งในการนี้คงต้องยกเครดิตให้กับเหล่าประชากรหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าที่ทำให้ เราเชื่อว่าเป้านั้นไม่ใช่สิ่งเกินฝัน
เหตุผลแรก ชาวเมืองๆ นี้เลือกใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง พวกเขาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเป็นตัวเลือกแรกเสมอ (เมื่อจับจ่ายข้าวของในซุปเปอร์มาร์เก็ต) แถมเป็นผู้ที่รู้จักเลือกสรรสิ่งดีมีคุณภาพเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ อาหาร ไปจนถึงเรื่องของผังเมือง
เหตุผลที่สอง ชาวเมืองส่วนใหญ่ตระหนักและยอมรับว่า ถ้าประเทศของเขากลายเป็นห้องทดลองสีเขียวสำหรับการแก้ปัญหาต่างๆ แล้วล่ะก็ ความเจริญและความร่ำรวยก็จะตามมาเองในที่สุด 
อันดับที่ 2 – ซูริค (Zurich) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์  (อันดับที่ 3 เมื่อปี 2010)
“เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ เมืองที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า ขึ้นไปข้างบน และเที่ยงตรงแม่นยำอย่างที่สุด!” 
The Prime Tower ตึกแลนด์มาร์คประจำกรุงซูริค (ความสูง 126 เมตร) ไม่ได้มีดีกรีเป็นแค่ตึกระฟ้าของประเทศเล็กๆ ที่รุ่งเรืองเท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวแทนของ “ข้อผูกมัดใหม่” เกี่ยวกับเรื่องสถาปัตยกรรมที่กำลังพัฒนาก้าวหน้าขึ้นด้วย
ราคาที่พุ่งสูงอย่างน่าตระหนกของ ออฟฟิศและที่อยู่อาศัยผลักดันในซูริคต้องหวนคิดถึงเรื่องการวางผังเมืองใหม่ อีกครั้ง (พื้นที่ 6,000 ตารางเมตรของอาคารสำนักงานที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จะมีผลกับค่าเช่าในอนาคต) อย่างไรก็ตาม ในด้านอื่นๆ แล้วกลุ่มผู้บริหารเมืองก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ส่งผลให้อาชญากรรมด้านการปล้นจี้ลดลงถึง 23% การว่างงานลดลง 0.5% จากปีที่แล้ว นอกจากนั้นอัตราส่วนของแพทย์ก็ยังเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร และแน่นอนว่าเรื่องของระบบการคมนาคมขนส่งก็ดำเนินไปอย่างแม่นยำและตรงเวลา เช่นเดียวกับนาฬิกาสวิส!
อันดับที่ 1 – เฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์
(อันดับที่ 5 เมื่อปี 2010)
“เมืองที่มีอาชญากรรมน้อย อัตราการว่างงานต่ำ ขณะเดียวกันก็มีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม และมีวัฒนธรรมด้านอาหารที่กำลังบูมสุดๆ”
ทั้งๆ ที่ในฤดูหนาวเฮลซิงกิมีหิมะปกคลุมหนาเตอะ และมีอุณหภูมิลดต่ำลงถึง -25 องศาเซลเซียส แต่จากสถิติที่มีมา สนามบิน Helsinki Vantaa เคยปิดทำการไปเพียงแค่ “ครึ่งชั่วโมง” เท่านั้นในรอบ 8 ปี  และที่น่าจับตาเป็นที่สุดก็คือ ในปี 2012 นี้ เฮลซิงกิได้รับเลือกให้เป็น World Design Capital ซึ่งการนี้ผู้บริหารเมืองได้ตั้งปณิธานว่า จะทำให้น้ำในทะเลสาบทั้งหมดเป็นน้ำที่คนสามารถดื่มกินได้ และกล้าพอที่จะย้ายท่าเรือใหญ่ถึง 2 แห่งไปไว้ที่ฝั่งตะวันออก
จากผลการสำรวจในปี 2010 พบว่ามีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเมืองเล็กๆ (อย่างเฮลซิงกิ) นี้มากถึง 3 ล้านคน จนทำให้ทั่วทั้งตัวเมืองเต็มไปด้วยสถานที่สังสรรค์ บาร์ คาเฟ่ คอฟฟี่ช็อป และร้านอาหารรสเลิศ

เครดิต :: http://article.tcdcconnect.com/ideas/best-25-living-cities

เล็บตีนเป็นหน้าต่างของหัวใจ - แตงโม vs จั๊กจั่น


‘แตงโม’เชื่อ‘จั๊กจั่น’ทำรุนแรงโดนคนเสี้ยม
เผยน้อยใจเรื่องเพ้นท์เล็บเท้า
 มาร่วมงาน The A|XX 20th Anniversary Event ที่พาร์ค เวนเจอร์ เพลินจิต ดาราสาว‘แตงโม’ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ เปิดใจถึงกรณีที่ขึ้นสเตตัสบนบีบีว่า “เล็บตีนเป็นหน้าต่างของหัวใจ” ทำให้ถูกมองว่าไปแขวะนางเอกสาวรุ่นพี่ ‘จั๊กจั่น’อคัมย์สิริ สุวรรณศุข ที่ไปเพ้นท์เล็บเท้าเป็นรูปแตงโม 
ดาราสาวเผยว่า “ตัวโมเองได้ทราบข่าวว่าเขามีการทาเล็บเท้าเป็นรูปแตงโม ทีแรกโมไม่ได้เชื่อแต่มีคนส่งรูปมาให้ดู อึ้งน้ำตาร่วงเลย ยอมรับว่าเกิดความรู้สึกน้อยใจ แต่พอเวลาผ่านไปใจโมก็โอเคขึ้น ไม่ได้คิดอะไรแล้ว”
ได้คุยกับจั๊กจั่นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหรือยัง “ไม่ได้ถาม โมเชื่อว่าพี่เขาก็คงไม่ได้เจตนา อีกอย่างถึงโทรไปไม่ว่าคำตอบจะออกมาว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ยังไงมันก็ไม่ได้ทำลายความรู้สึกที่ดีที่มีต่อกัน โมก็ยังรักเขาอยู่ดี แล้วทางพี่จั่นเองก็บีบีมาบอกว่าอย่าคิดมาก มันไม่เข้าเรื่อง โมอาจจะน้อยใจไปเองก็ได้ แต่โมคงไม่ผิดใช่มั้ยที่จะน้อยใจว่าชื่อโมมันไปอยู่ตรงเล็บเท้าใครสักคนที่เป็นคนที่รู้จักกัน(เสียงเครือ)พี่จั่นเขาก็ให้เหตุผลว่าเขาต้องทำไปเพื่อการถ่ายละคร รับบทเป็นลูกเจ้าของห้างฉะนั้นต้องทำเล็บเท้าตลอดเวลา แต่ถ้าลองคิดในทางกลับกันถึงโมจะเล่นเป็นลูกคนรวยแค่ไหนก็คงไม่เอาชื่อเพื่อนมาไว้ที่เล็บเท้า”
“ส่วนเรื่องที่โมขึ้นสเตตัสแบบนั้น ก็ไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่า แต่ตอนที่โมทำไปไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปที่ใคร โมแค่ขึ้นประชดชีวิตความคิดมากของโมเอง ตอกย้ำตัวเองเล่นๆ”
ถ้ายิ่งไม่โทรไปเคลียร์จะยิ่งค้างคาหรือเปล่า “โมไม่ติดใจกับพี่จั่นเลยจริงๆ เพราะโมเชื่อว่าสิ่งที่พี่จั่นทำอะไรที่รุนแรงขึ้นทุกวันๆ เป็นเพราะคนใกล้ชิดเขาที่ทำให้เป็นแบบนี้ โมรู้จักพี่จั่นดี ถึงช่วงหลังจะสนิทกันน้อยลง แต่โมรู้พื้นฐานนิสัยของเขา จึงมั่นใจว่าพี่จั่นไม่เคยนิสัยแบบนี้ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ และไม่คิดแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง”
แสดงว่ามีคนเสี้ยมให้แตงโมกับจั๊กจั่นทะเลาะกัน “ไม่ใช่ว่าโมคิด คนทุกคนไม่ว่าจะใครก็ตามที่เคยใกล้ชิดเขารู้ว่าทุกวันนี้พี่จั่นโดนเสี้ยมแน่นอน สำหรับพี่จั่นนั้นโมก็ยังรักและเป็นห่วงเหมือนเดิม”
มีเรื่องโยงมาอีกว่าแตงโมเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องที่จั๊กจั่นไปว่าอั้ม(พัชราภา)ว่าอีแก่ “สมัยที่โมถ่ายละครกับพี่จั่น มีข่าวของพี่อั้มกับพี่จั่นเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งพี่จั่นกับพี่อั้มเคลียร์กันแล้ว พี่จั่นไม่เคยทำอะไรให้โมรู้สึกว่าจะต้องไปทำร้าย โมเชื่อว่าพี่จั่นไม่เคยบอกกับใครว่าโมไปทำร้ายเขา”
กลัวว่าพี่อั้มจะมาเข้าใจแตงโมผิดด้วยไหม “ไม่กลัวค่ะ โมกับพี่อั้มคุยกันตลอด เรื่องที่เกิดขึ้นโมเป็นคนกลาง ตลอดเวลาที่เกิดเรื่องโมคุยกับทั้งสองฝั่ง พยายามทำให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด แต่สุดท้ายแล้วโมหมา พี่อั้มเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเองและเลือกที่จะคบคน ถ้าโมไม่ดีพี่อั้มคงไม่คุยกับโมแล้วล่ะ แต่โมเชื่อว่าพี่อั้มไว้ใจและเชื่อใจโม”
บอกได้ไหมคนที่เสี้ยมให้ทะเลาะกับจั๊กจั่นเป็นใคร “เป็นคนที่โมเคยรักเขามากๆ เคยสนิทด้วย แต่คนทั้งวงการเคยเตือนโมมาหมดแล้ว จนทุกวันนี้มาเจอกับตัวเองเลยเฟดออกมาแค่นั้นเอง”
นสพ.ข่าวสด