Homebright

Bright

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะค่ะ:D
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 10ที่สุดของโลก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 10ที่สุดของโลก แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับเทศกาลแปลกของโลก


การจัดอันดับเทศกาลแปลกของโลก 

อันดับที่ 1 เทศกาล ลา โตมาตินา เมืองบูโยล ประเทศสเปน

          หรือเทศกาลการขว้างปามะเขือเทศใส่กันนั่นเอง โดยจะจัดขึ้นในวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคมของทุกปี และเทศกาลนี้ถือเป็นเทศกาลการใช้อาหารเป็นอาวุธในการทำสงครามกันที่ใหญ่ที่ สุดในโลก โดยในวันสุดท้ายของเทศกาล จะมีการนำรถบรรทุกมะเขือเทศสุกน้ำหนักกว่า 90,000 ปอนด์ มาเทลงบนถนน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้ใช้ขว้างปากันอย่างสนุกสนานกว่า 1 ชั่วโมง


อันดับที่ 2 เทศกาลวิ่งกลิ้งเนยแข็งลงเขา เมืองกลอสเตอร์ ประเทศอังกฤษ

          หรือ Cooper's Hill Annual Cheese Rolling ซึ่งจะจัดขึ้นในวันจันทร์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม เทศกาลนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันประมาณ 20 คนต้องมาวิ่งกลิ้งก้อนเนยแข็งน้ำหนัก 8 ปอนด์ ลงจากเขาระยะทาง 30 หลา และด้วยระยะทางชัน ประกอบกับก้อนเนยแข็งที่กลม ก็ทำให้ผู้เข้าแข่งขันหลายคนบาดเจ็บไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว

อันดับที่ 3 เทศกาลกบ ในรัฐหลุยส์เซียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา

          เทศกาลกบ หรือ "Frog Festival" จัดขึ้นทุกวันแรงงาน โดยคนกว่า 50,000 คน จะนำกบของตัวเอง หรือเช่ามาประกวดแข่งขันรายการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งแข่ง ดนตรี แถมตบท้ายด้วยการกินกบ

อันดับที่ 4 เทศกาล เซา ซูเอา เมืองปอร์โต้ ประเทศโปรตุเกส

          จัดขึ้นทุกวันที่ 23 มิถุนายน ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลที่มีสีสัน มีชีวิตชีวามากที่สุดในยุโรปเลยทีเดียว นั่นเพราะผู้คนที่เข้าร่วมงานจะมีค้อนพลาสติกคนละอัน เมื่อเจอเพศตรงข้ามที่ถูกใจล่ะก็ อย่ารอช้า! พวกเขาจะใช้ค้อนนั้นตีอย่างแรงเข้าที่ศีรษะโดยที่ไม่มีใครว่าอะไร

อันดับที่ 5 เทศกาล โกนขนแกะ เมืองมาสเตอร์รอน ประเทศนิวซีแลนด์

          เทศกาลโกนขนแกะ หรือ Golden Shears Sheep Shearing Festival จัดขึ้นทุกต้นเดือนมีนาคม โดยถือเป็นเทศกาลที่เก่าแก่ จัดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1961 และมีผู้เข้าแข่งขันโกนขนแกะเป็นจำนวนมาก

อันดับที่ 6 โยนอุจจาระกวางมูส เมืองทัลคีทนา รัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา

          เทศกาลโยนอุจจาระกวางมูส หรือ Moose Dropping Festival นั้น จะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมของทุกปี โดยจะมีผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ หรือเครื่องประดับที่ผลิตจากอุจจาระกวางออกวางขาย แถมในช่วงสุดท้ายของเทศกาล จะการแข่งขันขึ้นบอลลูนไปเพื่อโยนอุจจาระกวางมูสก้อนใหญ่ ลงไปที่เป้าหมายที่มีตัวเลขกำกับไว้ ใครโยนลงตัวเลขที่กำหนดก็จะเป็นผู้ชนะ

อันดับที่ 7 เทศกาล สงกรานต์  ประเทศไทย

"เทศกาลสงกรานต์" ของจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย ติดอันดับ 7 ของเทศกาลแปลกที่สุดในโลก แต่ละปีจะมีคนมาร่วมงานสงกรานต์นับแสนคน เพื่อสาดน้ำ ทำสงครามปืนฉีดน้ำ สาดสีสันต่าง ๆ ใส่กันทุก ๆ ปี ซึ่ง "น้ำ" เป็นสัญลักษณ์ของการชำระล้างจิตใจให้ใสสะอาด ก่อนเข้าสู่ปีใหม่แบบไทย ๆ นั่นเอง นอกจากนี้ที่น่าสนใจคือ ยังมีการประกวดนางสงกรานต์ด้วย

อันดับที่ 8 เทศกาลปาส้มอีเวรี ประเทศอิตาลี

          Ivrea Orange Festival หรือ เทศกาลปาส้มอีเวรี จัดขึ้นทุกเดือนกุมภาพันธ์ กำเนิดขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อน จากการที่ชาวเมืองอิตาลีลุกขึ้นต่อต้านผู้ปกครองนครในขณะนั้น โดยการจับมาตัดศีรษะ ส่วนองครักษ์ทั้งหลายก็ถูกขว้างก้อนหินใส่จนเสียชีวิต แต่ปัจจุบัน เทศกาลนี้หันมาใช้ส้มเป็นสัญลักษณ์แทนก้อนหิน เพื่อบรรเทาปัญหาผลผลิตส้มล้นตลาด

อันดับที่ 9 เทศกาลทาสีวัว ประเทศลักเซมเบิร์ก

          เทศกาลทาสีวัว หรือ Cow Painting Festival จัดขึ้นในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายนของทุกปี โดยชาวเมืองจะพากันนำวัวมาตกแต่งวาดลวดลายตามแต่จินตนาการ เป็นที่สนุกสนาน แม้จะไม่มีการประกวด หรือรางวัลใด ๆ

 อันดับที่ 10 เทศกาลกระเทียม เมืองกิลรอย รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

          Garlic Festival จัดขึ้นทุกเดือนกรกฎาคม มีที่มาจาก ดร.รูดี้ เมโลน อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองกิลรอย ไม่พอใจที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส อ้างว่าเป็นเมืองหลวงแห่งกระเทียมของโลก ทำให้ ดร.รูดี้ ตัดสินใจพิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นว่า เมืองกิลรอยต่างหากที่เป็นเมืองกระเทียมของโลกอย่างแท้จริง ตั้งแต่นั้นมาก็มีการจัดงานทุกอย่างที่เกี่ยวกับกระเทียม ทั้งอาหารหลากหลายชนิด ศิลปะ และดนตรี

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

อันดับ 1 ได้แก่ หมานักรบ กับภารกิจตามล่าหาตัวบินลาดิน

ซึ่งทำให้หน่วยคอมมานโดของอเมริกาสามารถตามจับผู้นำอัลเคด้าคนนี้ได้สำเร็จ จนกลายเป็นขวัญใจใครต่อใครไปทั่วโลกแล้ว ทั้งนี้ก็นอกจากความน่ารักแสนรู้แล้ว พวกมันยังถูกฝึกมาให้บู๊ระห่ำแบบไม่เกรงกลัวภัยใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งดมกลิ่นหาวัตถุระเบิด พบห้องลับของบินลาดิน และหากมีนักโทษพยายามหลบหนี พวก
มันก็จะเร่งฝีเท้าตามจับคนร้ายกลับมาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
 Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

มาที่อันดับที่ 2 ได้แก่ เจ้าคนุต หมีขั้วโลกแสนน่ารัก และเป็นดาวเด่นของสวนสัตว์เบอร์ลิน จนทำให้เกิดกระแสคลั่งไคล้เจ้าคนุตไปทั่วโลก ถึงกับมีดาราฮอลลีวูดแวะเวียนมาชมความน่ารักของมันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ทอม ครูซ และลีโอนาร์โด ดิแคปริโอ  ซึ่งเจ้าคนุต ก็สร้างรายได้มหาศาลจากค่าเข้าชม รวมถึงสินค้าต่าง ๆ ภายใต้แบรนด์หมีคนุต ให้กับสวนสัตว์ถึงปีละหลายล้านยูโร และเคยทำให้ราคาหุ้นสวนสัตว์พุ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นแฟรงก์เฟิร์ตอีกด้วย แต่ยังไม่ทันที่ผู้คนทั่วโลกจะได้ชื่นชมกับความน่ารักของเจ้าคนุต มันก็เสียชีวิตกะทันหันด้วยวัยเพียง 4 ขวบเท่านั้น เนื่องจากการกระทบกระเทือนภายในสมอง จนกลายเป็นข่าวพาดหัวดังไปทั่วโลก
Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

ส่วนอันดับที่ 3 ได้แก่ เรื่องราวสุดสลดของ เสือสิงห์กว่า 50 ตัวตายที่เกลื่อนในรัฐโอไฮโอ โดยเหตุการณ์อันน่าสลดนี้ เกิดขึ้นที่สวนสัตว์แห่งหนึ่งในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา หลังจากที่ เทอร์รี่ ธอมป์สัน เจ้าของสวนสัตว์ป่าปล่อยสัตว์อันตรายรวม 56 ตัว ทั้งเสือเบงกอล 18 ตัวและสิงโต 17 ตัว วิ่งเพ่นพ่านทั่วเมือง ก่อนจะยิงตัวตายเพื่อเป็นการประชด หลังโดนโทษจำคุกในข้อหามีอาวุธและทารุณกรรมสัตว์ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังใช้ปืนไรเฟิลไล่ล่าสัตว์จนสถานการณ์สงบ ส่งผลให้สัตว์ป่าตายไปทั้งสิ้น 49 ตัว หายไป 1 ตัว ส่วนสัตว์อีก 6 ตัว ได้แก่ เสือดาว 3 ตัว หมีกริซลี่ 1 ตัวและลิง 2 ตัว จับไว้ได้และส่งไปให้สวนสัตว์โคลัมบัสแล้ว
Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

อันดับที่ 4 ได้แก่ ภาวะขาดแคลนอาหารของสัตว์ในสวนสัตว์ทริโปลี ประเทศลิเบีย โดยที่ตั้งของสวนสัตว์แห่งนี้อยู่ที่ อาบู ซาลิม ซึ่งเป็นฐานที่มั่นเดิมของผู้นำเผด็จการ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ซึ่งก็ไม่ได้รับการเหลียวแลและให้อาหารเลย โดยผู้ดูแลสวนสัตว์แห่งนี้กล่าวว่า กัดดาฟีล้มเหลวที่จะจ่ายเงินค่าอาหารสัตว์ทุกเดือน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นหนี้บริษัทอาหารสัตว์อยู่ถึง 1.5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ อีกทั้งพนักงานในสวนสัตว์แห่งนี้ต่างก็ทยอยออกไปจาก 100 จนเหลือ 15 คนเท่านั้น
Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

อันดับที่ 5 ได้แก่ เรื่องราวสุดสะเทือนใจของสุนัขที่นอนเฝ้าโลงศพทหารมะกัน ผู้เป็นนายสุดที่รัก โดยสุนัขแสนซื่อสัตย์ตัวนี้ คือเจ้าฮอว์กอาย สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนคู่ใจของ จอน ทูมิวสัน นายทหารหน่วยซีลของสหรัฐฯ วัย 25 ปี โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา มันรักเจ้าของมาก จนกระทั่งเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่นายทหารจอน ทูมิวสัน ได้โดยสารไปกับเฮลิคอปเตอร์กองทัพสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน ก็ได้เกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้ง 38 ราย และจอน ทูมิวสัน ก็เป็นหนึ่งในนั้น
  
ท่ามกลางความเศร้าสลดของครอบครัวและญาติมิตรกับการจากไปของ จอน ทูมิวสัน แล้ว กลับมีภาพที่เรียกน้ำตาปรากฏขึ้นในงานศพให้เศร้าสลดขึ้นไปอีก เมื่อเจ้าฮอว์กอาย สุนัขคู่ใจของจอน ได้มานอนเฝ้าหน้าโลงศพของเขาไม่ไปไหนตลอดพิธีศพ นับเป็นภาพที่สะเทือนใจแขกที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก
Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

อันดับที่ 6 ได้แก่ เรื่องระทึก งูอียิปต์หลุดออกจากสวนสัตว์บรอนซ์ หลังจากที่มีข่าวออกมาว่า งูเห่าอียิปต์ความยาว 24 นิ้วตัวนี้ล่องหนออกจากสวนสัตว์บรอนซ์ ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงสวนสัตว์เป็นอย่างยิ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โชคดีที่เจ้าหน้าที่สามารถควานหาตัวของมันได้พบ และก็ไม่ใช่ที่ไหนเล้ยยยย...ในกรงของมันนั่นเอง เพียงแค่เจ้างูเห่าไปหลบในมุมมืดที่อยู่สูง 200 ฟุตเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถหางูเห่าดังกล่าวได้พบแล้ว แต่เรื่องระทึกขวัญดังกล่าวก็ยังสร้างความหวาดหวั่นสะพรึงกลัวให้กับคนอยู่ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว
Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

อันดับที่ 7 ได้แก่ แฟชั่นสุดชิคของ แอชลีย์ - แมรี่ เคท โอลเซ่น คู่แฝด คู่หูแฟชั่น หลาย ๆ คน อาจจะงงว่า เอ...เจ้าแม่แฟชั่นคู่นี้มาเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ได้อย่างไร
Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

ทั้งนี้ก็เนื่องจากกระเป๋าถือใบล่าสุดของพวกเธอนี่เอง ที่ทำเอาทั้งทุกคนถึงกับอึ้งไปตาม ๆ ซึ่งไม่ใช่หนังธรรมดาซะด้วย แต่เป็น "หนังจระเข้" ที่มีมูลค่าถึง 39,000 ดอลล่าร์สหรัฐเลยทีเดียว!!! ทั้งนี้ สาวแอชลีย์ยังกล่าวติดตลกอีกด้วยว่า ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดในสหรัฐ สิ่งเดียวที่ราคาสูงขึ้น นั่นคือ Hermès
Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก

อันดับที่ 8 ได้แก่ โรคปากเท้าเปื่อยระบาดหนักในเกาหลีใต้ ส่งผลให้ทางการเกาหลีต้องสั่งกำจัดสัตว์ ทั้งหมู แพะ กวาง ไปแล้วกว่า 3.2 ล้านตัว ซึ่งในจำนวนนี้ มีวัวนมอีกกว่า 3.6 หมื่นตัวด้วย ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคปากเท้าเปื่อยในสัตว์ มีมูลค่าสูงถึง 374.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจากสถานการณ์การระบาดของโรคปากเท้าเปื่อยในเกาหลีใต้ครั้งนี้ ทำให้องค์การอาหารและการเกษตร หรือเอฟเอโอ ของสหประชาชาติ  ออกมาระบุว่า เป็นการระบาดครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 50 ปีเลยทีเดียว
อันดับที่ 9 ได้แก่ อีวอนน์ แม่วัวผู้รักอิสระ ในประเทศเยอรมัน ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อีวอนน์ ได้สร้างความตื่นตะลึงไปโลก หลังจากที่มันกระโดดหนีข้ามรั้วไฟฟ้า และเตลิดหนีเข้าป่าหายไปเป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างที่กำลังจะถูกนำไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ ครั้งหนึ่งเกือบก่ออุบัติเหตุด้วยการวิ่งปะทะรถตำรวจ จึงทำให้กรมตำรวจออกหมายประกาศอนุญาตให้ยิงทิ้งได้ถ้าเห็นอยู่ที่ไหนเพราะเป็นสัตว์ไม่ปลอดภัยในถนนหนทางต่าง ๆ และจากวีรกรรมอันกล้าหาญของมันนั่นเอง หนังสือพิมพ์ Bild จึงได้ตั้งรางวัลถึง10,000 ยูโร ให้แก่ผู้ที่นำอีวอนน์กลับออกมาจากป่าอย่างปลอดภัย

 
งานนี้ก็เลยทำเอาประชาชนทั้งหลายตามหาแม่วัวตัวนี้กันอย่างจ้าละหวั่น จนในที่สุดก็ตามหาตัวจนเจอ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ อีวอนน์ได้รับการดูแลอย่างดีและปลอดภัยแล้ว โดยอยู่ที่อุทยานคุ้มครองสัตว์ ซึ่งได้จ่ายเงิน 600 ยูโรเพื่อซื้อกรรมสิทธิจากเจ้าของเดิม ป้องกันไม่ให้อีวอนน์ถูกนำไปสู่โรงฆ่าอีกครั้ง
Top 10 สุดยอดเรื่องสัตว์ สุดช็อกโลก


และอันดับที่ 10 ได้แก่ ปริศนา นก-ปลา ตายเป็นเบือ เป็นข่าวครึกโครมทันทีหลังจากที่นกแบล็กเบิร์ดปีกแดง 5,000 ตัว ร่วงลงมาจากฟ้าในวันแรกของปีใหม่ 2011 ที่มลรัฐอาร์คันซอ รวมถึงมีนกตายเป็นจำนวนมากหล่นจากท้องนภาในมลรัฐอื่น ๆ ของอเมริกาอีกเช่นกัน ไม่เพียงแต่บนฟ้าเท่านั้น ปลาจำนวนมโหฬารเสียชีวิตตามท้องน้ำต่างๆ ในสหรัฐฯ อย่างปริศนาเช่นกันไม่นานต่อมามันก็ดูจะกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับทั่วโลกไปด้วยซ้ำ เมื่อมีรายงานเรื่องนกและปลาสิ้นชีพในเวลาใกล้ ๆ กันเป็นจำนวนมาก โผล่ขึ้นมาทั้งที่สวีเดน, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, ไทย, บราซิล, และอื่น ๆ

  
ทั้งนี้ ก็มีคนต่างพากันออกมาพยากรณ์ว่า วาระแห่งโลกาวินาศกำลังจะมาถึงแล้ว อย่างไรก็ดี ก็มีการสันนิษฐานถึงสาเหตุอื่นเช่นกัน อาทิ มาจากการพ่นสารเคมี, ฝนดาวตก, แผ่นดินไหว, สารพิษตกค้างซึ่งมาจากคราบน้ำมันจำนวนมหาศาลที่บริษัทบีพีทำเปรอะเปื้อนเอาไว้ในอ่าวเม็กซิโก, กองทัพสหรัฐฯกำลังทดลองอาวุธพลังงานที่อาศัยกำลังจากดาวเทียม หรือแม้กระทั่งเป็นฝีมือของมนุษย์อวกาศที่กำลังทดสอบคลื่นเสียงทรงอานุภาพที่จะสามารถขับไล่พวกเอเลี่ยนมนุษย์ต่างดาว!!! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถหาข้อสรุปที่แน่ชัดได้เสียที

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

25 อันดับ “เมืองน่าอยู่” แห่งปี 2011


เมื่อไม่นานมานี้นิตยสาร Monocle (นิตยสารเชิง Educative & Lifestyle ชื่อดังจากเกาะอังกฤษที่หลายคนฟันธงว่า เป็นโมเดลของนิตยสารที่สมบูรณ์แบบแห่งศตวรรษ) ได้นำเสนอผลการสำรวจการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ประจำปี 2011 โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ อันได้แก่
1) โอกาส
2) คุณภาพชีวิต
3) ความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์รากเหง้าดั้งเดิมของตัวเมืองและแผนการในอนาคต
และต่อจากนี้ไปก็คือ รายชื่อของผู้ชนะทั้ง 25 เมืองที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ พรสวรรค์ และความกล้าหาญในการที่จะลงมือทำ “สิ่งที่เคยฝัน” ให้กลายเป็นจริง…
อันดับที่ 25 – ซีแอทเทิล (Seattle) สหรัฐอเมริกา 
(เข้าอันดับใหม่ในปี 2011)
“รอบล้อมด้วยน้ำในทุกหนทุกแห่ง และอยู่ใกล้เอเชียที่สุด” 
ซีแอทเทิล คือ เมืองที่รอบล้อมไปด้วยมหาสมุทร ทะเลสาบ และคลอง (สำหรับเดินเรือเพื่อขนส่งสินค้าต่างๆ) จนได้ชื่อว่าเป็น “สุดยอดเมืองแห่งเรือเดินสมุทร” แถมเป็นเมืองท่าของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ใกล้ชิดทวีปเอเชียที่สุดด้วย 
ย่านที่น่าสนใจของซีแอทเทิลในตอนนี้ ก็คือ South Lake Union ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารดีๆ มากมาย นอกจากนั้น ซีแอทเทิลยังมีโครงการรถไฟฟ้ามูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่กำลังจะถูกขยายภายในเวลา 2 ปี
อันดับที่ 24 มอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดา  
(อันดับที่ 19 เมื่อปี 2010)
“อุปสรรคสำคัญในการเติบโตของมอนทรีออลก็คือ ความไม่สะดวกในการเดินทางไปรอบๆ เมือง แต่ถึงกระนั้นด้วยความเป็นอัจฉริยะและความคิดสร้างสรรค์ที่ล้นปรี่ ก็ยังทำให้เมืองนี้ติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดอยู่ดี”  
หากมอนทรีออลจะยังคงติดอันดับต้นๆ ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีนั้น ก็คงไม่ใช่เพราะมีผู้บริหารที่ดีเพียงอย่างเดียว เพราะในขณะที่เมืองๆ นี้ได้รับการยกย่องในเรื่องสาธารณูปโภค การปั่นจักรยาน และเรื่องของอุตสาหกรรมไฮเทค แต่เรื่องของการขนส่ง ถนนหนทาง ตลอดจนสะพานต่างๆ ในเมือง ก็ควรได้รับการปรับปรุงอีกมาก  (การเดินทางรอบเมืองมอนทรีออลใช้เวลาประมาณ 76 นาที)
อันดับที่ 23 – ลิสบอน (Lisbon) ประเทศโปรตุเกส
(อันดับที่ 25 เมื่อปี 2010)
“มีร้านรวงเล็กๆ มากมายที่เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในพื้นที่สาธารณะต่างๆ ทั่วเมือง”
แม้ความซบเซาทางเศรษฐกิจจะทำให้การ ค้าขายในเมืองลิสบอนปราศจากชีวิตชีวา แต่ชาวเมืองลิสบอนก็ยังสามารถพึ่งพา “อากาศที่ดี” และทำให้ย่านการค้าแบบ Open air ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยสถานที่ที่คึกคักที่สุดก็คือบริเวณริมแม่น้ำในตำบล Belem ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ Champalomaud Foundation Centre (เพิ่งเปิดตัว Biomedical Centre และ Contemporary Art Centre ไปเมื่อไม่นานมานี้) นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีแผนการที่จะสร้างสถานีเติมพลังงานให้กับรถที่ใช้ พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย
อันดับที่ 22 – ฮัมบูร์ก (Hamburg) ประเทศเยอรมันนี 
(อันดับที่ 24 เมื่อปี 2010)
“เมืองที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามเป็นอันดับสองของเยอรมันนี” 

ฮัมบูร์กมีอาคารประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม ตลอดจนมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ และมีน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญเมืองนี้เป็นที่ตั้งของโครงการ HafenCity โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือซึ่งมีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่ “กล้าและล้ำที่สุด” (คาดว่า จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกจำนวนมหาศาล) ท้ายสุดฮัมบูร์กยังได้ครองตำแหน่ง European Green Capital ประจำปี 2011 ด้วย
อันดับที่ 21 – เกียวโต (Kyoto) ประเทศญี่ปุ่น 
(อันดับที่ 23 เมื่อปี 2010)
“เมืองหลวงเก่าที่มีทุกอย่างที่โตเกียวไม่มี” 
ถ้าระยะเวลาในการเดินทางด้วยรถด่วน ชินคังเซนขบวน “โตเกียว – เกียวโต” ถูกย่อให้เหลือเพียง 45 นาที (แทนที่จะเป็น 2 ชั่วโมงอย่างทุกวันนี้) ผู้คนที่ทำงานในโตเกียวอาจเลือกพักอาศัยในเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ มากกว่าการไปแออัดอยู่ในกรุงโตเกียวด้วยซ้ำ ด้วยว่า เกียวโตนั้นมีทุกอย่างในแบบที่เมืองทันสมัยไฮเทคฯ ของโลกควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถาปัตยกรรม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ แถมมีพื้นที่เปิดโล่งตามแนวแม่น้ำ (แม่น้ำคาโมะที่แนบขนานไปกับย่านเมืองเก่า) ตลอดจนมีวิถีชีวิตสไตล์เนิบช้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรม  ที่สำคัญคือ ไม่มีเรื่องแผ่นดินไหวและภัยสงครามมารบกวนใจชาวเมืองแม้แต่น้อย 
อันดับที่ 20 – แวนคูเวอร์ (Vancouver) ประเทศแคนาดา
(อันดับที่ 16 เมื่อปี 2010)
“คงมีไม่กี่เมืองในโลกที่สามารถต่อกรกับธรรมชาติได้อย่างน่าชื่นชม ซึ่งแวนคูเวอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น” 
ประชากรครึ่งหนึ่งของแวนคูเวอร์ไม่ ได้เกิดที่แคนาดา อาหารจานหลักของเมืองๆ นี้ ได้มาจากมหาสมุทรและสวนผลไม้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ แวนคูเวอร์เป็นศูนย์กลางของการผลิตภาพยนตร์ และศูนย์รวมของบริษัทออกแบบวิดีโอเกมส์
อันดับที่ 19 – โฮโนลูลู (Honolulu) สหรัฐอเมริกา
(อันดับที่ 13 เมื่อปี 2010)
“เมืองสวรรค์แห่งนี้มีดีมากกว่าแค่ชายหาด”
จับตาดูผลงานของนายกเทศมนตรีคนใหม่ ที่เพิ่งจัดให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ อาทิ โครงการสร้างทางรถไฟมูลค่ามหาศาล การกำจัดขยะ การทำท่อระบายน้ำเสีย ฯลฯ และปิดท้ายด้วยการเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ในเดือนพฤศจิกายนที่กำลังจะมาถึง
โฮโนลูลู บ้านเกิดของประธานาธิบดีบารัค โอบามา มีเรื่องของการท่องเที่ยวเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งแม้ว่า หาดไวกิกิจะถูกกัดเซาะเข้าไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวลดน้อยถอยลงเลย นอกจากนั้นด้วยความที่มีวิวทิวทัศน์งดงาม โฮโนลูลูจึงเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องดังหลายเรื่อง และเป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายทำรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ด้วย  ส่วนที่น่าสนใจที่สุดตอนนี้ก็คือ เรื่องของศิลปะ ทิวทัศน์ และเจ้าของธุรกิจเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ 
อันดับที่ 18 – พอร์ทแลนด์ (Portland) สหรัฐอเมริกา
(อันดับ 22 เมื่อปี 2010)
“เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ที่น่าจับตามองมากที่สุด” 
มองแว่บแรก คุณอาจจะคิดว่า เมืองริมแม่น้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาแห่งนี้เป็นเพียงแค่ที่ พักผ่อนหย่อนใจของคนหนุ่มสาว แต่หากมองให้ลึกลงไปในรายละเอียดคุณก็จะพบกว่า “พอร์ทแลนด์” คือ เมืองอุตสาหกรรมที่มีทั้งกิจการร้านค้าและกิจกรรมอันมีชีวิตชีวามากมาย (และแน่นอนว่า มันยังมีความเป็นธรรมชาติมากๆ ด้วย) 
ว่ากันว่าท่าเรือเมืองพอร์ทแลนด์ใน เวลานี้มีสินค้าส่งออกเพิ่มมากขึ้นถึง 2 เท่าจากช่วง 2 ทศวรรษก่อน ขณะที่ธุรกิจร้านอาหาร ดนตรี คาเฟ่ และแฟชั่น ก็มีตัวเลขผลตอบแทนที่ดีกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่มากโข นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยท้องถิ่นในเมืองพอร์ทแลนด์ก็กำลังก่อสร้างอาคารสูงหลายชั้น (มีกำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2013) แถมพอร์ทแลนด์ยังมีโครงการคมนาคมขนส่งชั้นยอด (มูลค่ากว่า 100 ล้านยูโร) ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งรวมถึงการขยายถนนหนทางต่างๆ และสถานีบริการ “เติมพลัง” ให้กับรถพลังงานไฟฟ้าด้วย
อันดับที่ 17 – ฮ่องกง (Hongkong) ประเทศจีน
(เข้าอันดับใหม่ในปี 2011)
“เจ้าภาพเทศกาลศิลปะ (Art Fair) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค” 
ด้วยเงินทุนจำนวนมหาศาลที่มุ่งมั่น พัฒนา “เกาลูนตะวันตก” ให้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม (โดยได้รับความร่วมมือจาก Foster + Partners) ฮ่องกงมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อเมืองใหญ่ต่างๆ หลายแห่ง เช่น กวางโจวและเซินเจิ้น (กำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2015) แถมด้วยสะพานฮ่องกง – จูไห่ – มาเก๊า ความยาว 26.6 กิโลเมตร ดูท่าว่าฮ่องกงจะเดินถึงฝั่งฝันได้ไม่ยาก ที่สำคัญที่สุดแม้ว่าฮ่องกงจะเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก แต่ 67% ของพื้นที่ก็ยังเป็นพื้นที่ป่า และมีชายหาดกระจายตัวอยู่ถึง 41 แห่ง 
อันดับที่ 16 – ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ประเทศญี่ปุ่น (อันดับที่ 14 เมื่อปี 2010)
“หนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดของญี่ปุ่น” 
ถ้าดูจากแผนที่ “เมืองฟุกุโอกะ” จะตั้งอยู่มุมบนด้านซ้ายของเกาะคิวชู แต่ถ้ามองจากระยะไกล ที่แห่งนี้คือ หัวใจของเอเชียตะวันออก (ด้วยว่า มันตั้งอยู่ใกล้กับกรุงโซลและมหานครเซี่ยงไฮ้ในระยะทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกลไป กว่าโตเกียวถึงโอซาก้า)
ฟุกุโอกะมีชื่อเสียงในเรื่องของ อาหารรสชาติกลมกล่อมและชีวิตราตรีที่สนุกสนาน ปัจจุบัน มีสถานีรถไฟใหม่ “สถานีฮากาตะ” ที่รวบรวมร้านค้าและร้านอาหารมากมายกว่า 200 ร้านไว้ด้วยกัน แถมด้วยรถไฟชินคังเซนที่เชื่อมต่อเส้นทางระหว่างฟุกุโอกะและคะโกชิมะก็ทำให้ การเดินทางสะดวกสบายยิ่ง
ขึ้น ที่สำคัญสนามบินประจำเมืองนั้นอยู่ห่างออกไปจากสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ
อันดับที่ 15 – สิงคโปร์ (Singapore)
(อันดับที่ 21 เมื่อปี 2010)
“จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ คือ ความท้าทายใหม่ในเมืองแห่งสวนของเอเชีย” 
จากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น 14.5% ในปีที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ดีปีหนึ่งของชาวสิงคโปร์ อย่างไรก็ดี นโยบายของกองต่างด้าว (ที่เข้มงวดน้อยลง) ก็ส่งผลให้เหล่าผู้อพยพไหลทะลักเข้ามา (ส่วนมากเป็นชาวจีน) ซึ่งการขยายตัวของประชากรอย่างรวดเร็วนี้ย่อมหมายถึงความติดขัดของบริการ สาธารณะต่างๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของระดับความไม่เสมอภาคอันเป็นปัญหาสูงสุดของประเทศ ที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่
ที่น่าติดตามคือ สถานการณ์ทางการเมืองของสิงคโปร์ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็น “ประชาธิบไตยอย่างช้าๆ” ขณะที่รัฐบาลก็ยังคงมีประสิทธิภาพ มีอัตราการเกิดอาชญากรรมที่น้อยแสนน้อย แถมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ยอดเยี่ยมชั้นหนึ่ง
อันดับที่ 14 – บาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปน 
(อันดับที่ 17 เมื่อปี 2010)
“เชื่อมโยงถึงกันมากกว่าที่เคยเป็นมา” 
เรื่องดีๆ ในบาร์เซโลนาตอนนี้ก็คือ สนามบิน El Prat เพิ่งเปิดประตูเชื่อมต่อไปไกลถึงเซาเปาโลและไมอามี่ แถมยังเพิ่มเส้นทางบินนอกทวีปยุโรปอีกกว่า 75% (บาร์เซโลนาเตรียมการรับมือกับเรื่องนี้ด้วยการสร้างรถไฟความเร็วสูง AVE) อย่างไรก็ตาม ภาพอนาคตในแง่มุมอื่นกลับยังไม่ชัดเจนนัก มีการตัดลดงบประมาณในโครงการต่างๆ ขณะที่ทั่วทั้งเมืองก็ยังเต็มไปด้วยนักล้วงกระเป๋า และมาตรการคุมเข้มเรื่องการแสดงดนตรีสดก็ทำให้สีสันยามค่ำคืนเฉาลงไปเยอะ
เทศมนตรี เลน บราวน์ ที่ว่า “จะทำให้โอ๊คแลนด์เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”
นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ทุกคนที่โอ๊คแลนด์ก็กำลังขมีขมันตกแต่งเมือง เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้เวิล์ดคัฟในเดือนกันยายน 2011 ซึ่งงานนี้พวกเขาลงทุนมหาศาลเพื่อปรับปรุงพื้นที่สาธารณะตลอดจนเรื่องของ ร้านอาหารด้วย
อันดับที่ 13 – โอ๊คแลนด์ (Aukland) ประเทศนิวซีแลนด์ 
(อันดับที่ 20 เมื่อปี 2010)
“สภาที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันและการเริ่มต้นใหม่ในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้เวิล์ดคัฟ”
ชาวโอ๊คแลนด์กำลังตื่นเต้นเพราะปี ที่แล้วได้มีการทดลองครั้งสำคัญในการยุบสภาทั้ง 7 เพื่อรวมกันขึ้นเป็นสภาเดียว พร้อมทั้งมีคำสัญญาจากนายกเทศมนตรี เลน บราวน์ ที่ว่า “จะทำให้โอ๊คแลนด์เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”
นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ทุกคนที่โอ๊คแลนด์ก็กำลังขมีขมันตกแต่งเมือง เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้เวิล์ดคัฟในเดือนกันยายน 2011 ซึ่งงานนี้พวกเขาลงทุนมหาศาลเพื่อปรับปรุงพื้นที่สาธารณะตลอดจนเรื่องของ ร้านอาหารด้วย
อันดับที่ 12 – กรุงปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศส 
(อันดับที่ 7 เมื่อปี 2010)
“ท้ายที่สุดเมืองหลวงของฝรั่งเศสก็ได้เรียนรู้ว่าการปฏิรูปไม่ใช่เรื่องเสียหาย” 
ทัศนคติการดูถูกคนอื่นของชาวปารีส และอดีตอันเต็มไปด้วยเรื่องราวสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำให้ผู้คนทั้งโลกประเมินศักยภาพของปารีสต่ำเกินไปในการที่จะเป็นเมือง แห่งอนาคต อย่างไรก็ดี การเชื่อมโยงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่หรูหราระยิบระยับเข้ากับย่านชุมชนชาน เมืองที่สุรุ่ยสุร่าย ก็น่าจะทำให้ทุกสิ่งกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง (เมื่อถึงวันส่งมอบ Super Metro ที่มีความยาวถึง 130 กิโลเมตรในปี 2025) ซึ่งแม้ว่าในวันนั้นประธานาธิบดี นิโคลา ซาโกซี่ จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วก็ตาม แต่เขาก็สมควรจะได้รับความดีความชอบอันนี้ พอๆ กันกับที่นายแบร์ทรองด์ เดอลาโนเอ นายกเทศมนตรีเมืองปารีสได้จัดให้มีบริการ “จักรยานเช่า” เพื่อขี่ชมเมือง (ชื่อว่า Velib) และอีกโครงการที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ก็คือ “รถไฟฟ้าเช่า” (ชื่อว่า Autolib) ซึ่งจะเรียกว่าเป็นของขวัญที่น่ารอคอยจากปารีสก็ได้
อันดับที่ 11 – สต็อกโฮล์ม (Stockholm) ประเทศสวีเดน (อันดับที่ 6 เมื่อปี 2010)
“กรุงสต็อกโฮล์มยังคงเดินหน้าต่อไปในการทำให้เมืองมีคุณภาพมากที่สุด” 
เมืองหลวงขนาดเล็กๆ แห่งสแกนดิเนเวียนี้ สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้หมดภายในระยะเวลาเพียง 30 นาที มันเพียบพร้อมไปด้วยข้อเสนอทางวัฒนธรรมที่ดี ตลอดจนร้านอาหาร ผับ บาร์ และคาเฟ่หรูหรา รวมไปถึงพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง
ล่าสุดสต็อกโฮล์มที่โดดเด่นในเรื่อง ของความสะอาดและความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติกำลังจะมีโครงการ Slussen Docks และ Stockholmsporten Gateway ที่คาดการว่า จะยังคงไว้ซึ่งความสวยงามทางสถาปัตยกรรม และความอ่อนน้อมต่อสภาพแวดล้อมเหมือนเช่นเคย
อันดับที่ 10 – มาดริด (Madrid) ประเทศสเปน  (อันดับที่ 10 เมื่อปี 2010)
“เมืองที่ถูกเปลี่ยนสภาพใหม่ให้พร้อมรับมือกับอนาคต” 
หลายคนสงสัยในความทะเยอทะยานที่ดู เหมือนจะไม่มีขีดจำกัดของ Alberto Ruiz – Gallardon ผู้ว่าการเมืองมาดริด มาโดยตลอด แต่ในที่สุด เมื่อโครงการใหญ่ทั้งหลายเสร็จสิ้นลง ชาวเมืองก็ต้องยอมรับว่า พวกเขารู้สึกดีใจและมีความสุขอย่างที่สุด  
หนึ่งในนั้นคือโครงการ Madrid Rio ที่จะมีทั้งสวนสาธารณะ เลนจักรยาน สเก็ตแรมพ์ สนามเด็กเล่น และศูนย์การค้าใหญ่อย่าง Plaza de Callao แต่ก็ใช่ว่ามาดริดจะมีแต่ข่าวดีไปเสียทั้งหมด เพราะเมื่อบ่อทองคำของเมืองเหือดแห้งไป เรื่องของสภาพอากาศก็จะกลับมาเป็นปัญหาใหญ่ด้วยระดับมลพิษที่พุ่งสูงขึ้น กว่ามาตรฐานของ E.U. เหตุนี้ทำให้กลุ่มผู้บริหารเมืองจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาจราจร พร้อมทั้งหาทางรณรงค์ให้ชาวเมืองหันมาใช้จักรยานเป็นพาหนะกันมากขึ้น 
อันดับที่ 9 – โตเกียว (Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น (อันดับที่ 4 เมื่อปี 2010)
“ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับโตเกียว หนึ่งในเมืองโปรดของคนทั้งโลก”
สัญญาณในการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจยังคง มีให้เห็นทั่วกรุงโตเกียว (หลังจากถูกโจมตีด้วยภัยธรรมชาติและภัยพิบัติจากนิวเคลียร์เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011) ซึ่งด้วยความที่จำนวนชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก โตเกียวจึงต้องหันกลับมาจัดบทบาทใหม่ และเริ่มมองหาความมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยชาวเมืองโตเกียวผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่างพร้อมใจกันลงคะแนนให้ ชินทาโร่ อิชิฮาระ ผู้ว่าการประจำเมือง 3 สมัย วัย 78 ปี ดำรงตำแหน่งต่อในสมัยที่ 4  
เราขอคำนับให้กับชาวเมืองโตเกียวที่ มีความอดทนต่อช่วงเวลาอันยากลำบาก และสำหรับสิ่งดีงามต่างๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน ความสนุกในการช้อปปิ้ง และมารยาทในการเป็นเจ้าบ้าน (แม้ว่าประชาชนพลเมืองยังต้องเผชิญกับอนาคตที่ยากลำบาก แถมด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลพวงจากหายนะทางธรรมชาติ)
อันดับที่ 8 – เบอร์ลิน (Berlin) ประเทศเยอรมันนี
(อันดับที่ 11 เมื่อปี 2010)
“ค่าครองชีพที่ต่ำกว่าเมืองหลวงใดในยุโรปทำให้เบอร์ลินยังคงเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่ที่สุด”
เฉพาะแค่ปี 2010 ที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมกรุงเบอร์ลินเพิ่มสูงขึ้นถึง 9 ล้านคน คงเพราะความที่ไม่มีงานอุตสาหกรรมหลงเหลืออยู่ และอัตราการว่างงานในเมืองก็สูงลิบ “การท่องเที่ยว” จึงได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจของเบอร์ลินให้เดินหน้า ต่อไปได้
ทุกวันนี้ หลายต่อหลายย่านฮิตในเขตที่เคยเป็น “เบอร์ลินตะวันออก” คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ทะลักเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จำนวนอพาร์ทเมนท์และที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวผุดขึ้นใหม่ราวกับดอกเห็ด เห็นชัดเลยว่า เมืองหมีแห่งนี้กำลังถูกขัดสีฉวีวรรณให้เป็นเมืองหรูหราแห่งใหม่ของโลก
อันดับที่ 7 – ซิดนีย์ (Sydney) ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 12 เมื่อปี 2010)
“ซิดนีย์ได้ถูกชุบชีวิตขึ้นใหม่จากการเปิดตัวของ Westfield Shopping Centre มอลล์ขนาดมหึมาที่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมือง”
นอกจากช้อปปิ้งมอลล์ขนาดยักษ์แห่ง ใหม่แล้ว ซิดนีย์ยังมีแผนการที่จะสร้างรถไฟที่ถนนจอร์จสตรีท (ถนนสายเจ้าปัญหา) ซึ่งผู้บริหารเมืองได้ให้คำปฏิญาณว่า จะใช้เงินจำนวน 180 ล้านเหรียญออสเตรเลีย เพื่อปรับปรุงพื้นที่บริเวณนั้นให้งดงามที่สุด ตลอดจนเรื่องการรณรงค์ให้ชาวเมืองหันมาใช้จักรยาน (ที่เคยถกเถียงกันมาตลอด) ก็จบลงด้วยข้อสรุปที่ดี งานนี้จะทำให้อัตราการใช้จักรยานสูงขึ้นอีกถึง 167 %
อันดับที่ 6 – เวียนนา (Vienna) ประเทศออสเตรีย (อันดับที่ 8 ในปี 2010)
“กรุงเวียนนากำลังจะเป็นเมืองแห่งพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่งดงามที่สุด”  
กรุงเวียนนามีโปรแกรมการปรับปรุง เมืองใหม่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟใหม่ที่แสนไฮเทค (คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2015) ซึ่งเปรียบได้กับสมอเรือในย่านใหม่ที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่า 13,000 คน หรือเกาะใหญ่ใกล้กับแม่น้ำดานูบที่กำลังกลายสภาพเป็นถิ่นเก๋ๆ ของชาวโบฮีเมียน เพราะโรงแรมสุดฮิปในเครือโซฟิเทลที่ออกแบบโดยฌอง นูแวล (Jean Nouvel) สถาปนิกชื่อดังชาวฝรั่งเศส กำลังจะเปิดตัวขึ้นในเดือนธันวาคมปีนี้ (2011) ตามด้วยมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ที่พร้อมเปิดให้บริการในปี 2012
อันดับที่ 5 – เมลเบิร์น (Melbourne) ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 9 ในปี 2010)
“การเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งกำลังจะทำให้เมลเบิร์นกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย” 
เมลเบิร์นกำลังเติบโตอย่างหยุดไม่อยู่ ทางตะวันตกของเมืองในเขต Dockland มีการก่อสร้างใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งคาดการณ์ว่า ภายในปี 2020 นี้ Dockland จะมีที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอีกราว 3,400 ยูนิต ซึ่งนั่นจะทำให้ย่านนี้กลายเป็นย่านที่เต็มไปด้วยบ้านเรือน (รองรับคนได้กว่า 17,000 คน) สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ร้านค้า ลานกีฬา และถนนสายพาณิชย์อีกหลายสาย
โดยสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ “วิธีการ” ที่เมืองๆ นี้ใช้จัดการกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้น
อันดับที่ 4 – มิวนิค (Munich) ประเทศเยอรมันนี
(อันดับที่ 1 เมื่อปี 2010)
“แม้จะอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอนุรักษ์นิยม แต่มันก็เพียบพร้อมไปด้วยความก้าวหน้าเช่นกัน”
มิวนิคเป็นเมืองหนึ่งที่มีระบบการจัดการดีที่สุดในโลก และมีระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในแคว้นบาวาเรีย ตลอดจนมีสมดุลยภาพระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานในระดับที่น่าอิจฉา เมืองๆ นี้ได้รับการรับรองให้เป็นพื้นที่ของ “เบียร์การ์เด้น” อีกทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของ “ตลาดวิคทัวเลียน” (Vikualien markt) อันแสนโด่งดังอีกด้วย
ขณะนี้ชาวเมืองมิวนิคกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการตัวเอง และลุ้นว่าจะได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวปี 2018 หรือไม่ 
อันดับที่ 3 – โคเปนเฮเกน (Copenhagen) ประเทศเดนมาร์ก 
(อันดับที่ 2 เมื่อปี 2010)
“เมืองริมน้ำที่มีความสำคัญและมีองค์ประกอบต่างๆ ที่ลงตัว” 
กรุงโคเปนเฮเกนตั้งเป้าไว้ว่า จะเป็นเมืองที่มีอัตราคาร์บอนสมดุล (Carbon- Neutral) ให้ได้ภายในปี 2025 ซึ่งในการนี้คงต้องยกเครดิตให้กับเหล่าประชากรหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าที่ทำให้ เราเชื่อว่าเป้านั้นไม่ใช่สิ่งเกินฝัน
เหตุผลแรก ชาวเมืองๆ นี้เลือกใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง พวกเขาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเป็นตัวเลือกแรกเสมอ (เมื่อจับจ่ายข้าวของในซุปเปอร์มาร์เก็ต) แถมเป็นผู้ที่รู้จักเลือกสรรสิ่งดีมีคุณภาพเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ อาหาร ไปจนถึงเรื่องของผังเมือง
เหตุผลที่สอง ชาวเมืองส่วนใหญ่ตระหนักและยอมรับว่า ถ้าประเทศของเขากลายเป็นห้องทดลองสีเขียวสำหรับการแก้ปัญหาต่างๆ แล้วล่ะก็ ความเจริญและความร่ำรวยก็จะตามมาเองในที่สุด 
อันดับที่ 2 – ซูริค (Zurich) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์  (อันดับที่ 3 เมื่อปี 2010)
“เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ เมืองที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า ขึ้นไปข้างบน และเที่ยงตรงแม่นยำอย่างที่สุด!” 
The Prime Tower ตึกแลนด์มาร์คประจำกรุงซูริค (ความสูง 126 เมตร) ไม่ได้มีดีกรีเป็นแค่ตึกระฟ้าของประเทศเล็กๆ ที่รุ่งเรืองเท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวแทนของ “ข้อผูกมัดใหม่” เกี่ยวกับเรื่องสถาปัตยกรรมที่กำลังพัฒนาก้าวหน้าขึ้นด้วย
ราคาที่พุ่งสูงอย่างน่าตระหนกของ ออฟฟิศและที่อยู่อาศัยผลักดันในซูริคต้องหวนคิดถึงเรื่องการวางผังเมืองใหม่ อีกครั้ง (พื้นที่ 6,000 ตารางเมตรของอาคารสำนักงานที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จะมีผลกับค่าเช่าในอนาคต) อย่างไรก็ตาม ในด้านอื่นๆ แล้วกลุ่มผู้บริหารเมืองก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ส่งผลให้อาชญากรรมด้านการปล้นจี้ลดลงถึง 23% การว่างงานลดลง 0.5% จากปีที่แล้ว นอกจากนั้นอัตราส่วนของแพทย์ก็ยังเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร และแน่นอนว่าเรื่องของระบบการคมนาคมขนส่งก็ดำเนินไปอย่างแม่นยำและตรงเวลา เช่นเดียวกับนาฬิกาสวิส!
อันดับที่ 1 – เฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์
(อันดับที่ 5 เมื่อปี 2010)
“เมืองที่มีอาชญากรรมน้อย อัตราการว่างงานต่ำ ขณะเดียวกันก็มีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม และมีวัฒนธรรมด้านอาหารที่กำลังบูมสุดๆ”
ทั้งๆ ที่ในฤดูหนาวเฮลซิงกิมีหิมะปกคลุมหนาเตอะ และมีอุณหภูมิลดต่ำลงถึง -25 องศาเซลเซียส แต่จากสถิติที่มีมา สนามบิน Helsinki Vantaa เคยปิดทำการไปเพียงแค่ “ครึ่งชั่วโมง” เท่านั้นในรอบ 8 ปี  และที่น่าจับตาเป็นที่สุดก็คือ ในปี 2012 นี้ เฮลซิงกิได้รับเลือกให้เป็น World Design Capital ซึ่งการนี้ผู้บริหารเมืองได้ตั้งปณิธานว่า จะทำให้น้ำในทะเลสาบทั้งหมดเป็นน้ำที่คนสามารถดื่มกินได้ และกล้าพอที่จะย้ายท่าเรือใหญ่ถึง 2 แห่งไปไว้ที่ฝั่งตะวันออก
จากผลการสำรวจในปี 2010 พบว่ามีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเมืองเล็กๆ (อย่างเฮลซิงกิ) นี้มากถึง 3 ล้านคน จนทำให้ทั่วทั้งตัวเมืองเต็มไปด้วยสถานที่สังสรรค์ บาร์ คาเฟ่ คอฟฟี่ช็อป และร้านอาหารรสเลิศ

เครดิต :: http://article.tcdcconnect.com/ideas/best-25-living-cities

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ตะลึง 8 คนพิสดาร! สถิติใหม่กินเนสส์


สถิติใหม่กินเนสส์ ตะลึง 8 คนพิสดาร!
1 ลิ้นยาวที่สุด 2 น้ำหนักมากที่สุด 3 ตัวจิ๋วที่สุด 4 หนวดยาวที่สุด
บริษัท กินเนสส์ เวิลด์ เร็กคอร์ด เปิดตัวหนังสือรวบรวมสถิติใหม่ของโลกประจำปี 2555 มีสถิติน่าทึ่งเข้ารอบมาใหม่หลายประเภทที่ทำให้คนอ่านต้องตื่นตะลึง 
เคร็ก เลนเดย์ บรรณาธิการหนังสือ กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความแปลกประหลาดที่สุดในโลกของร่างกายมนุษย์ทั้งที่เรารักใคร่หวงแหนและนิยมชมชอบพูดถึงเอาไว้รวมกัน
ซีบีเอส-เอ็นบีซีคัดเลือกสถิติมนุษย์พิสดารในเล่มมีด้วยกัน 8 ประเภท 
เริ่มที่เจ้าของสถิติลิ้นยาวที่สุดเป็นนักเรียนหญิงชื่อ ชาเนล แท็ปเปอร์ จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ วัดความยาวลิ้นจากโคนจรดปลายได้ 3.8 นิ้ว
ผู้หญิงที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก ชื่อ พอลีน พอตเตอร์ จากเมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ ชั่งน้ำหนักเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ปีก่อน ได้ 291 กิโลกรัม
ผู้ที่มีขนดกที่สุดในโลกจนได้ฉายาว่ามนุษย์หมาป่าคือ มานูเอล ฟาจาร์โด อาเซเวส และ หลุยซา ลิเลีย เดอ ลีรา อาเซเวส มาจากตระกูลเดียวกันและเป็นสมาชิกเพียง 2 คนจากทั้งตระกูล 19 คน ในรุ่นที่ 5 ที่ได้สืบทอดมรดกความผิดปกติทางพันธุกรรมมาครอบครอง
ด้านชายตัวจิ๋วที่สุด เจ้าของความสูง 24 นิ้ว ชื่อ จุนเรย์ บาลาวิง จากฟิลิปปินส์ เพิ่งอายุ 18 ปีไปเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.
คริสติน วอลตัน นักร้องวัย 45 ปี จากลาสเวกัส เป็นเจ้าของสถิติเล็บยาว 3 เมตร เล็บมือซ้ายยาวกว่ามือขวาเล็กน้อย คริสตินเผยว่า ตนเองเป็นคนไม่ชอบความสะอาดเท่าไร แต่ชอบแต่งตัวสวยๆ
1 คู่ขนดกที่สุด 2 เล็บยาวที่สุด 3 เจาะเยอะที่สุด 4 ฟูที่สุด
รอล์ฟ บุ๊กโคลซ์ จากดอร์ตมุนด์ เยอรมนี เป็นนักเจาะร่างกายแบบไม่กลัวเจ็บ มีวงแหวนทั้งสิ้น 453 วงทั่วตัว ในจำนวนนี้มี 94 วงเจาะในปากและรอบปาก ส่วนอีก 25 วงที่คิ้ว 8 วงที่จมูก ไม่ต้องพูดถึงว่าอวัยวะเพศก็มีอีก 278 วง
บุรุษที่หนวดยาวที่สุดมาจากรัฐราชสถานของอินเดียชื่อ ราม ซิงห์ ชัวฮัน วัดความยาวหนวดได้ 4.2 เมตร
สุดท้ายสาวอเมริกันที่มีทรงผมหยิกเป็นพุ่มบนหัวขนาดใหญ่ที่สุด วัดเส้นรอบวง 1.32 เมตร ชื่อ เออวิน ดูกาส์ จากนิวออร์ลีนส์
ที่มา นสพ.ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

5 ตุ๊กตา ยอดฮิตระดับโลก


ลองดูกันนะว่าสุดยอด 5 ตุ๊กตาที่เราเลือกมามีอะไรบ้าง
BLYTHE, BARBIE, KITTY,TEDDY BEAR, DOLLS, ตุ๊กตา

1. Barbie

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี 1959 ในงานอเมริกันทอย แฟร์ หลังจากมีการก่อตั้งบริษัท แมตเทล ในปี 1944 โดยเอลเลียด แฮนด์เลอร์ และ ฮาโรลด์ แมคสัน ซึ่งภายหลังแมคสันขายเลอร์หุ้นส่วนหนึ่งของตัวเองให้แฮนด์เลอร์ ทำให้แฮนด์เลอร์กับภรรยาของเขาเข้ามาทำธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว ในงานของเล่นที่นิวยอร์ก เมื่อปี 1959 แมตเทลจึงออกผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า "บาร์บี้" เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นตุ๊กตานางแบบวัยรุ่นที่สวมชุดว่ายน้ำลายขาวดำ พร้อมกับแว่นกันแดดสุดเปรี้ยว รองเท้าส้นสูง ตุ้มหูห่วงสีทอง และผมหางม้าสูง 29 เซนติเมตร หนัก 11 ออนซ์ โดยชื่อบาร์บี้นั้นมาจากชื่อลูกสาวของแฮนด์เลอร์

ต่อมาตุ๊กตาบาร์บี้ได้รับความนิยมอย่างสูง จึงทำให้มีสร้างเป็นเรื่องราวออกมาว่าบาร์บี้เกิดที่ เมืองวิลโลว์ ที่วิสคอนชิน มีชื่อจริงว่า บาร์นี้ มิลลิเซ็นต์ โรเบิร์ดส์ เป็นบุตรสาวของ มาการ์เร็ด โรเบิร์ดส์ กับ โรเบิร์ด โรเบิร์ดส์ โดยมีน้องสาว ชื่อว่า สกิปเปอร์ ทูตติสเคซี และเคลลี พร้อมเพื่อนสนิทอย่างมิดจ์ บาร์บี้ได้เข้าเรียนในระดับไฮสคูลที่โรงเรียนวิลโลว์ ในเมืองวิลโลว์ รัฐวิสคอนชิน และเริ่มออกเดทกับเคนในปี 1961 ทั้งสองเป็นคู่รักที่สวีทกันมาตลอดว่า 40 ปี แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง กระแสของการแสวงหารักใหม่เข้ามามีบทบาทเหมือนคนจริงๆ เพราะสาวบาร์บี้แอบมีกิ๊กจนเลิกกับเคนในปี 2005 หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตสาวโสดอย่างสนุกสนามตามเทรนด์แฟชั่นที่เข้ามาในแต่ละปี

การผลิตเสื้อผ้าให้ตุ๊กตาบาร์บี้นั้นมีแบบต่างๆ ให้เลือกมากกว่า 500 แบบ จำหน่ายในกว่า 150 ประเทศ มียอดจำหน่ายมากกว่า 1 พันล้านตัว ราคาบาร์บี้สำหรับเด็กประมาณตัวละ 400-500 บาท หากเป็นรุ่นสะสม ก็จะมีราคา 1,100 บาทขึ้น แต่ถ้าเป็นรุ่นเก่าหายาก ก็จะมีราคาตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปค่ะ


BLYTHE, BARBIE, KITTY,TEDDY BEAR, DOLLS, ตุ๊กตา

2. Teddy Bear

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี 1903 ที่เยอรมัน โดยในครั้งแรกยังไม่ได้เรียกมันว่าหมีเท็ดดี้ จนกระทั่ง เทโอดอร์ รูสเวลท์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ซึ่งเป็นคนที่ชอบล่าหมีเป็นชีวิตจิตใจ จนมีนักวาดการ์ตูนคนหนึ่งเขียนภาพล้อเลียนโดยมีเจ้าหมีตัวเล็กๆ อยู่ข้างหลังตลอดเวลา ทำให้ทุกคนเรียกหมีตัวนั้นว่าเจ้าเท็ดดี้ต่อมาพ่อค้าหัวใสขาวอเมริกันได้สั่งซื้อตุ๊กตาหมีจาก นางมาการ์เร็ต เท ซึ่งเป็นผู้ออกแบบจำนวน 3,000 ตัว ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้จึงกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการนับแต่บัดนั้นเมื่อตุ๊กตาหมีขายดีขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดการเลียนแบบกันมากขึ้น ทำให้หลานชายของนางมาการ์เร็ต เท ต้องสร้างเอกลักษณ์ของตัวตุ๊กตาขึ้นมาโดยทำเป็นกระดุมติดอยู่ที่หู และมีแถบผ้าชิ้นเล็กๆ เขียนว่า Steiff ซึ่งก็คือชื่อบริษัทผู้ผลิตนั่นเอง

ปัจจุบันบริษัท Steiff ผลิตตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ประมาณปีละ 1.5 ล้านตัว โดยหมีเท็ดดี้ที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์คือ หมีที่ทำขึ้นในปี ค.ศ.2000 ที่มีชื่อว่า Teddybr "Louis Vuittan" ในปี 2000 ที่มีมูลค่ารวมแล้วประมาณ 2 แสนยูโร เหตุที่มันแพงขนาดนี้ก็เพราะทำด้วยมือ มีชุดและเครื่องประดับ แถมยังมีลายปักอีกด้วย เมื่อนำไปประมูลราคาจึงสูงมาก โดยผู้ชนะการประมูลในครั้งนั้นเป็นชาวเกาหลีที่นิยมสะสมของหายาก


BLYTHE, BARBIE, KITTY,TEDDY BEAR, DOLLS, ตุ๊กตา

3. Kitty

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี 1974 โดยบริษัท Sanrio ที่ลอนดอนกำเนิดคิตตี้บนกระดานวาดภาพจนมาถึงปี 1975 ก็ได้ทำเป็นโมเดลพลาสติกเล็กๆ ขึ้น ต่อมาในปี 1976 คิตตี้เริ่มปรากฏอยู่ตามกล่องอาหารชุด และไม่นานก็ได้มีการ์ตูนชุดออกมาในสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้นยังมีละครทีวีอีกด้วย

ปี 1980 คิตตี้เข้าไปอยู่ในกิ๊ฟช๊อปต่างๆ โดยเฉพาะไปโด่งดังในญี่ปุ่น ปี 1990 คิตตี้มีพื้นที่แสดงของตนเองที่เมืองมีชื่อว่า "Sanrio Puroland" อยู่ที่เมืองทามะ ประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถดึงดูดคนได้มากกว่า 1.4 ล้านคนต่อปี และในปี 1991 ที่คิวชู ญี่ปุ่นถึงกับมีการสร้างสวนสาธารณะที่เป็นเสมือนอาณาจักรของคิตตี้ก็ว่าได้

ส่วนเรื่องราวย่อๆ ของคิตตี้มีดังนี้ครับ คิตตี้นั้นเกิดเดือนพฤศจิกายน ปี 1974 ที่ชานเมืองลอนดอน ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรประมาณสองหมื่นคน คิตตี้มีพี่น้องฝาแฝดชื่อ มิมมี่ ชอบทำคุกกี้ให้คิตตี้กิน คิตตี้ชอบกินของความหลายชนิด อย่างลูกกวาด พายแอปเปิล ฝีมือคุณแม่ คิตตี้ชอบสะสมดวงดาวเล็กๆ ปลาทอง เหรียญเงินและริบบิ้น ตั้งแต่พ่อของเธอไปทำงานที่นิวยอร์ค เธอก็มีเพื่อนมากมาย คิตตี้ชอบผู้ชายใจดีและเป็นมิตร รักครั้งแรกของคิตตี้คือหนุ่มที่ชื่อ Dear Danlel แต่ไม่นานเขาก็ต้องจากไปเพราะเดินทางตามครอบครัวไปแอฟริกา คิตตี้จึงได้มาคบกับ Tippy หมีเพื่อนร่วมชั้นเรียน


BLYTHE, BARBIE, KITTY,TEDDY BEAR, DOLLS, ตุ๊กตา

4. Blythe

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1972 จากโรง Kenner สหรัฐอเมริกา ในตอนแรกได้จัดทำตุ๊กตาออกมาถึง 4 แบบคือ Blythe, Karess, Willow และ Skye ต่อมาทางโรงงานก็ได้จ้างดีไซน์เนอร์มาช่วยออกแบบให้ ซึ่งทำให้ตุ๊กตาสามารถเปลี่ยนสีลูกตาได้ แถมมีเครื่องแต่งกายมากมายที่สลับสับเปลี่ยนกันแทบไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม แต่แทนที่จะไปได้สวยกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะหน้าตาและสีสันของมันทำให้เด็กกลัวมาก จนต้องหยุดผลิตทั้งที่เปิดตัวได้เพียงแค่ปีเดียว ไม่นานนักก็เลิกใจการไปถึง 30 กว่าปี

หลังจาก 30 ปีผ่านไป ตุ๊กตาไบลทธ์ก็กลับมาอีกครั้ง และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการที่ Gina Garan โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกาได้รับมอบตุ๊กตาจากเพื่อน และเธอก็พาไบลทธ์ไปกับเธอแทบทุกที่ทั่วโลก และถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบ ภาพของเธอถูกนำมารวมเป็นหนังสือชื่อ This is Blythe และ Finecracker Altemative Book ผลก็คือ Gina Garan โด่งดังและนำพาให้ตุ๊กตาไบลทธ์ก็กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง และเมื่อบริษัท Tokoro ของประเทศญี่ปุ่นได้ลิขสิทธิ์ผลิตตุ๊กตา จึงทำการประชาสัมพันธ์จนทำให้ไบลทธ์เป็นที่รู้จักมากมาย ด้วยการยกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดัง และทำให้มีส่วนร่วมกับวงการแฟชั่นด้วยการหาแบรนด์เนมต่างๆ มาสนับสนุนทำให้วันนี้ไบลทธ์ กลายมาเป็นตุ๊กตาที่มีราคาขึ้นมาทันที ปัจจุบันราคาอยู่ที่หลักหลักพันจนไปถึงหมื่นบาทขึ้น


BLYTHE, BARBIE, KITTY,TEDDY BEAR, DOLLS, ตุ๊กตา

5. Rika-Chan

กำเนิดอย่างเป็นทางการ ค.ศ. 1967 โดยบริษัททาคาระ หลังจากที่นักเขียนการ์ตูนชื่อนาง มิยาโกะ มากิ ได้สร้างสรรค์ตุ๊กตาริกะจังขึ้นมาให้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนญี่ปุ่นมากกว่าชาวยุโรป ก็ทำให้เด็กสาวชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นเพลิดเพลินกับการเล่นตุ๊กตาเป็นพิเศษ เพราะตุ๊กตาริกะจังมีรูปแบบการแต่งตัวตามแฟชั่นและการเล่นไม่แพ้ตุ๊กตาบาร์บี้เลยทีเดียว

ยอดขายของริกะจังนั้นสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 53 ล้านตัวทั่วโลกแล้ว และในโอกาสที่มีการเปิดตัวริกะจังในวาระครบรอบ 35 ปี ทางบริษัทโทมี่ได้จัดทำตุ๊กตาริกะจังแบบพิเศษขึ้นมา โดยตัวที่เห็นอยู่ซ้ายมือสุดนี้ที่สูง 22 เซนติเมตร ประดับเพชร 51,433 กะรัด จำนวน 881 เม็ด มูลค่า 935,000 คอลลาร์ หรือราว 31.8 ล้านบาทเลยล่ะค่ะ