Homebright

Bright

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะค่ะ:D

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โทรศัพท์มือถือโลกอนาคต บิดไปบิดมา มีจริง !!

โทรศัพท์มือถือโลกอนาคตโนเกียทำได้ บิดไปบิดมา

UploadImage

โนเกีย รีเสิร์ช ได้นำนวัตกรรมโทรศัพท์มือถือแห่งโลกอนาคตมาเผยโฉมในงานโนเกียเวิลด์ 2011 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 25-26 ตุลาคมที่ผ่านมา
   
แนวคิดใหม่ของโทรศัพท์มือถือในยุคหน้า นักวิจัยของโนเกียรีเสิร์ช อธิบายว่า มันคือนวัตกรรมใหม่ควบคุมการทำงานด้วยการบิดหน้าจอไปมาซ้ายขวา
   
โนเกีย ไคเนติก (Nokia Kinetic) คือ ชื่อของนวัตกรรมการติดต่อสื่อสารแห่งอนาคตในแนวคิดของนักวิจัยโนเกีย อุปกรณ์ที่นำมาโชว์แม้จะเป็นเพียงต้นแบบแต่ก็ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและลูกค้าของโนเกียที่มาร่วมงานโนเกียเวิลด์อย่างมากมาย
   
โนเกีย ไคเนติก มีรูปร่างสี่เหลี่ยม ตัวเครื่องทำจากวัสดุยืดหยุ่นได้ สามารถบิดงอได้ทั้งเครื่อง จอเป็นอะโมเลด ขนาด 4 นิ้ว ในตัวเครื่องมีฟังก์ชั่นเพลง ดูหนังถ่ายภาพ ดูภาพถ่าย รองรับโชเชียลเน็ตเวิร์กแต่ยังไม่มีฟังก์ชั่นโทรศัพท์มือถือ
   
วิธีการทำงาน หากต้องการย่อขยายภาพถ่าย ฟังเพลง ก็แค่ใช้สองมือจับตัวเครื่องให้โค้งงอเข้าหากัน เมื่อเจอฟังก์ชั่นที่ต้องการก็บิดตัวเครื่องเข้าหาตัวเองทีนี้จะซูมหรือขยายหรือสั่งให้หยุดเพลงก็ทำได้ทันที
        
เท่าที่ได้สัมผัสวัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องเหมือนพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นสูง ขนาดพอดีมือ สีดำขอบเทา จอภาพคมชัดมาก
    
ไคเนติกอีกเครื่องที่เท่กว่า รูปร่างเหมือนเซิร์ฟบอร์ดจิ๋ว อันนี้มีความยืดหยุ่นสูงมาก ๆ สามารถบิดเป็นเกลียวเหมือนบิดผ้า จอสัมผัสขนาดเล็ก โฮมสกรีนจะแสดงเมนูหลัก เช่น เมสเสจภาพ โซเชียลเน็ตเวิร์ก แผนที่นำทาง เวลามีข้อความเข้ามาจะโชว์ภาพถ่ายของผู้ที่กำลังติดต่อเราด้วย
         
ตัวเครื่องสีขาวขอบใส เวลาจับให้ความรู้สึกนิ่มมือดี นักวิจัยโนเกียบอกว่า วัสดุที่ใช้แสดงผลหน้าจอเรียกว่านาโนสกินที่แสดงภาพคมชัด สามารถแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ได้ครบ แม้จอจะเล็ก
      
แม้จะเป็นเพียงแนวคิด เป็นเครื่องต้นแบบ แต่แนวโน้มของอุปกรณ์การติดต่อสื่อสารของโลกอนาคตก็มีทิศทางจะก้าวไปทางนั้น เป็นโลกที่อุปกรณ์สามารถเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตและมีแอพพลิเคชั่นที่มีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตประจำวันให้ดาวน์โหลดมาใช้งาน.
ปรารถนา  ฉายประเสริฐ prathana.chai@gmail.com
 
UploadImage

UploadImage
ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์
_______________________________________________________
ซัมซุงฟุ้ง"กาแล็กซีสกิน"มือถือบิดได้ พร้อมสˆงลุยตลาดต้นปี2012



การแข่งขันในตลาดสมาร์ตโฟนเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จากข่าวที่ว่าซัมซุง ค่ายผลิตมือถือรายใหญ่จากเกาหลีใต้และโนเกีย ค่ายผลิตมือถือรายใหญ่ของโลกจากฟินแลนด์กำลังซุ่มผลิตมือถือซึ่งมีคุณสมบัติเด่นตรงที่หน้าจอบิดงอ ยืดหยุ่นได้ และบางเหมือนกระดาษแต่มีความแข็งแรงทนทานสูง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสุดล้ำในวงการมือถือเวลานี้

หลังจากทางโนเกียเปิดตัวในงาน Nokia World ชื่อรุ่น Kinectic ให้ผู้ใช้บิดจอมือถือเพื่อใช้งานฟังก์ชันทั้งเพลงและวิดีโอ แต่โนเกียยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะวางจำหน่ายได้เมื่อใด ฝ่ายซัมซุงชิงออกมาประกาศแล้วว่ามือถือดังกล่าวของซัมซุงชื่อรุ่นว่า Galaxy Skin จะวางขายต้นปีหน้า เป็นเจ้าแรกของตลาด 

นายโรเบิร์ต หยี หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ด้านการลงทุนของซัมซุง กล่าวว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีเทคโนโลยีหน้าจอโค้งงอได้คาดว่าจะเปิดตัวต้นปี 2555 โดยจะเป็นในไลน์ของมือถือก่อน จากนั้นจะเป็นแท็บเล็ตต่างๆ 

สำหรับเทคโนโลยีจอบิดโค้งงอของซัมซุงนั้น เปิดตัวไปในงาน CES เป็นจอ AMOLED Flexible หรือจอบางเฉียบและงอได้ ขนาด 4.5 นิ้ว กับจอ Transparent AMOLED หรือจอโปร่งแสง ขนาด 19 นิ้ว ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องหน้าจอแตกอีกต่อไป

แฟชั่น กำไลเยอะๆ แหวนเต็มนิ้ว

 
กำไลข้อมือ แหวน
ริฮันน่าก็ยังไม่พลาดด .. สวยเข้าชุด

ภาพด้านบน แหวนไม่เยอะ แต่สวยเก๋ตรงสีเล็ฐ กับเลคกิ้งสีม่วงชมพู
กำไลข้อมือ แหวน
นี่เรียกว่า จัดเต็ม ..มีอะไรขนมาใส่ให้หม๊ดดดด
กำไลข้อมือ แหวน
อ๊ายย สวย ค่ะ สวย

เต็มทั้งหน้า เต็มทั้งข้อมือ ..

สีภาพชุดนี้ มันเริ่ดมาก

นี่ก็สีสันสดใส

เรกเก้กันปายย
สวยไว้ก่อน แม่สอนไว้

10 ปรากฎการณ์ประหลาด ผลกระทบวิกฤต "โลกร้อน!"

รู้สึกได้ว่า จากภาวะน้ำท่วมของไทย ทำให้หลายๆ คนหันมาอ่านสาระความรู้ หรือข่าวที่เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมมากขึ้น เลยขุดกระทู้เก่าๆ เมื่อปี 2007 มาฝากชาว yenta4 ค่ะ ว่าข้อมูลเหล่านี้ เป็นจริงในปัจจุบันแค่ไหน ..ย้ำนะคะว่านี่คือบทความเมื่อปี 2007
----
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัย "โลกร้อน" ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน อาทิ อากาศร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือระดับน้ำทะเลโลกสูงขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังเป็นต้นเหตุของปรากฎการณ์แปลกๆ มากมาย ซึ่งเกี่ยวพันกับการหายสาบสูญของทะเลสาบ โรคภูมิแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ วิถีโคจรของดาวเทียมในอวกาศ ฯลฯ!
สารภูมิแพ้แพร่ระบาดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
นั่นคือ ประชาชนไอ จาม ป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น คือต้นเหตุทำให้พืชพรรณต่างๆ ผลิใบเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกันปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้นเช่นกัน
คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย
สัตว์อพยพไร้ที่อยู่ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น
สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ "หมีขั้วโลก" ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว
"พืช"ขั้วโลกคืนชีพช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก  ตามปกติ พืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี
แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิต จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง
กลายเป็นอีก 1 ปรากฎการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ
ทะเลสาบหายสาบสูญเรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น
มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา "ทะเลสาบ" ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก
สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ "เพอร์มาฟรอส" ที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วน้ำจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง
นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย
น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลายภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น "รูรั่ว" ใต้ดินขึ้นมา
เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย
ถ้าปรากฎการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่ม เป็นต้น
ชนวนเกิดไฟป่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลก ว่า ภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต
ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ไฟป่า" ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันแล้ว เหตุเพราะสภาพป่าแห้งกว่าเดิม จึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี
ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอดโลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น
บรรดา "นกอพยพ" หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ "นาฬิกาชีวภาพ" ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน
สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น
ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง "กลายพันธุ์" หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่
ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน
ล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ "ดาวเทียม" ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม
ตามปกติ อากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจึดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ
ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลกภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลกกำลังขยายตัว "สูง" ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน!! นั่นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี "น้ำแข็ง" ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว
เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง
โบราณสถานเสียหายโบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรื่องของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน
เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว
โบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน